สรุปผลการดำเนินงานไตรมาสแรกปี 2024 ของธนาคารขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ

     ขณะนี้ เริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูกาลประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2024 ของเหล่าบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ โดยเริ่มจากกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ ได้แก่ JPMorgan, Bank of America, Citigroup, Wells Fargo, Goldman Sachs และ Morgan Stanley ซึ่งทั้ง 6 ธนาคารใหญ่รายงานรายได้รวมกันอยู่ที่ $139.07 billion เพิ่มขึ้น +4% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ หนุนจากหลายปัจจัย อาทิ ความต้องการในการออกพันธบัตรที่เร่งตัวขึ้น ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ทั้งหุ้นและตราสารหนี้ที่เพิ่มขึ้น และการปรับตัวขึ้นของตลาดตั้งแต่ต้นปีที่ช่วยหนุนรายได้ค่าธรรมเนียมที่สถาบันการเงินเรียกเก็บจากลูกค้า รวมถึงการบริโภคของชาวอเมริกันที่เพิ่มขึ้น

     โดยในบทความนี้จะพาสำรวจถึงปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยกดดันที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารใหญ่ของสหรัฐฯในไตรมาสล่าสุด

ความต้องการออกพันธบัตรหนุนรายได้ธุรกิจ Investment Banking พุ่ง

     ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของกลุ่มธนาคารสหรัฐฯ ในไตรมาสนี้ มีส่วนสำคัญจากรายได้ธุรกิจ Investment Banking ที่มีรายได้รายไตรมาสสูงที่สุด นับตั้งแต่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในปี 2022 ซึ่งแม้ในปีนี้ FED จะส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยราว 3 ครั้ง แต่กรรมการ FED หลายท่านยังมีท่าทีชะลอต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ประกอบกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯที่จะจัดขึ้นในเดือนพ.ย. ซึ่งอาจส่งผลต่อความไม่แน่นอนของตลาด จึงส่งผลให้หลายบริษัทต่างเร่งออกพันธบัตรในระยะที่ผ่านมา

     ทั้งนี้ รายได้ของธุรกิจ Investment Banking หนุนจากรายได้ค่าธรรมเนียมการจัดจำหน่าย (Underwriting Fee) ที่สูงขึ้นจากการที่สถาบันการเงินได้จัดจำหน่ายตราสารที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะพันธบัตรในระดับ Investment grade ที่เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุด อีกทั้งรายได้จากการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (IPO) ยังเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน

     โดย Goldman Sachs และ Citigroup รายงานรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจ Investment banking เพิ่มขึ้น +32% จากปีก่อนหน้า เช่นเดียวกับ Bank of America และ JPMorgan ที่รายได้เพิ่มขึ้น +38% และ +21% ตามลำดับอย่างไรก็ดี JPMorgan ระบุว่ากิจกรรมการกู้ยืมในตลาดของปีนี้อาจชะลอลงภายหลัง สอดคล้องกับ Goldman Sach ที่คาดการณ์ว่ารายได้ของธุรกิจ Investment banking อาจปรับลงจากปีที่แล้ว

     อีกทั้ง ตลาดที่ปรับตัวขึ้นตั้งแต่ต้นปียังช่วยหนุนรายได้ในธุรกิจ Wealth Management และ Equity Trading จากค่าธรรมเนียม สะท้อนในผลการดำเนินงานของหลายธนาคารอย่างเช่น Morgan Stanley ที่รายได้ในธุรกิจดังกล่าวอยู่ที่ $6.88 billion เพิ่มขึ้น +4.9% สูงกว่าคาด และ $2.84 billion ขยายตัว +4.1% ตามลำดับ สอดคล้องกับ Goldman Sachs ที่รายงานรายได้ในธุรกิจ Wealth Management เติบโตถึง +18% อยู่ที่ $3.79 billion เป็นต้น

การบริโภคที่เพิ่มขึ้นส่งผลต่อรายได้ธุรกิจสินเชื่อ

      นอกจากนี้ รายได้ของสินเชื่อบัตรเครดิตและปริมาณธุรกรรมที่เพิ่มขึ้นในภาพรวมช่วยหนุนรายได้ของกลุ่มธนาคารด้วยเช่นกัน จากภาพรวมเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่เติบโตและตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนในรายได้ภาคครัวเรือนของสหรัฐฯ ในเดือนมี.ค.เร่งขึ้นเร็วที่สุดในรอบปี ส่งผลต่อการใช้จ่ายและการกู้ยืมของทั้งฝั่งผู้บริโภคและภาคธุรกิจ โดย JPMorgan ซึ่งเป็นสถาบันการเงินที่เป็นผู้ปล่อยสินเชื่อรายใหญ่ รายงานยอดใช้จ่ายรวมของทั้งบัตรเครดิตและเดบิตเพิ่มขึ้น +9% ด้านยอดสินเชื่อบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นราว +15%

การชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจกดดันรายได้ดอกเบี้ยของกลุ่มธนาคาร

     อย่างไรก็ดี ในระยะยาว สถาบันการเงินอาจถูกกดดันหากอัตราดอกเบี้ยยังคงอยู่ในระดับสูง จากการที่ต้องคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในระดับสูง รวมถึงแนวโน้มต้นทุนทางการเงินที่อาจสูงขึ้น จากการที่ธนาคารอาจจำเป็นต้องหาแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนที่มากขึ้น หลังลูกค้าบางส่วนโอนย้ายเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่า

     โดย JPMorgan, Citigroup ต่างรายงานรายได้จากอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NII) ในไตรมาสล่าสุดปรับลงจากไตรมาสก่อนหน้า เช่นเดียวกับ Wells Fargo ที่รายงานรายรับจากดอกเบี้ยปรับตัวลดลง 8% จากการปล่อยสินเชื่อที่ลดลง พร้อมให้คาดการณ์ว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิในปีนี้จะปรับลดลงราว 7-9%

     นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ระดับสูงอาจกดดันงบดุล (Balance Sheet) ของกลุ่มธนาคารด้วยเช่นกัน อาทิ Bank of America รายงานขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงของตราสารหนี้ที่ธนาคารเคยเข้าลงทุนก่อน FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ราคาตราสารหนี้ปรับลดลง อย่างไรก็ดี ประเด็นกดดันดังกล่าวอาจคลี่คลายลงในครึ่งปีหลัง

     ในภาพรวม กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ รายงานรายได้ดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ หนุนจากธุรกิจ Investment Banking ที่เร่งตัวขึ้นชดเชยรายได้จากอัตราดอกเบี้ยสุทธิที่ยังถูกกดดันจากภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ระดับสูง ถือเป็นการเปิดฤดูกาลประกาศผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนของสหรัฐฯได้อย่างแข็งแกร่ง แม้จะเผชิญกับภาวะตลาดที่มีความไม่แน่นอน โดยหลังจากนี้ยังต้องจับตาการประกาศผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนของสหรัฐฯในกลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีความคาดหวังของการเติบโตของผลการดำเนินงานสูง และจะถือเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดทิศทางความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงระยะเวลาต่อจากนี้

 

ที่มา: The Wall Street Journal, Bloomberg, CNBC

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ TISCO Contact Center 0 2633 6000 กด 4 , 0 2080 6000 กด 4
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน

รายงานฉบับนี้ไม่ถือว่าเป็นคำเสนอหรือคำชี้ชวนให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ และจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่อประโยชน์แก่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเท่านั้น มิให้นำไปเผยแพร่ทางสื่อมวลชนหรือโดยทางอื่นใด ทิสโก้ไม่ต้องรับผิดต่อความเสียหายใดๆ ที่เกิดขึ้นโดยตรงหรือเป็นผลจากการใช้เนื้อหาหรือรายงานฉบับนี้ การนำไปซึ่งข้อมูล บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมายทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้เป็นการนำไปใช้โดยผู้ใช้ยอมรับความเสี่ยงและเป็นดุลยพินิจของผู้ใช้แต่ผู้เดียว