สัปดาห์นี้ปัจจัยที่นักลงทุนให้ความสนใจและส่งผลกระทบต่อความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ อย่างมาก ก็คือการรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ โดยเฉพาะ 5 บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ โดยก่อนที่จะมีการประกาศงบออกมา ตลาดต่างคาดหวังว่าผลการดำเนินงานของบริษัทเหล่านี้จะยังคงออกมาเติบโตอย่างแข็งแกร่งและช่วยหนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นได้ต่อ เหมือนกับ Tesla ที่ประกาศผลการดำเนินงานไปเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้าและหนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ อย่างไรก็ดี ถึงแม้ทั้ง 5 บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ประกาศงบออกมาในสัปดาห์นี้ทั้ง Alphabet Amazon Apple Meta และ Microsoft จะประกาศงบออกมาดีกว่าที่คาดทั้งหมดทั้งกำไรและรายได้ แต่ปรากฏว่ามีเพียง 2 บริษัทเท่านั้นที่ราคาหุ้น ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้หลังวันที่ตลาดทราบผลการดำเนินงาน โดยในวันนี้เราจะมาเจาะลึกถึงเหตุผลว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น
Alphabet ผลการดำเนินงานเติบโตอย่างแข็งแกร่งหนุนโดยรายได้บริการ Cloud Services
- Alphabet รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสล่าสุดออกมาดีกว่าคาด โดยมีรายได้เติบโต +15% YoY อยู่ที่ $88.27 billion และมีกำไรเติบโต +34% YoY อยู่ที่ $26.30 billion
- โดยรายได้หลักจากธุรกิจ Google Services ยังคงเติบโต 13% รับแรงหนุนจากความต้องการที่แข็งแกร่งในการค้นหาและการสมัครสมาชิกในแพลตฟอร์ม YouTube ด้านรายได้ธุรกิจที่เติบโตโดดเด่น คือ ธุรกิจ Cloud ที่มีรายได้เติบโตถึง +35% YoY รับแรงหนุนจากความต้องการในการใช้บริการ Cloud Services ที่เพิ่มขึ้นจากทั้งลูกค้าทั่วไปและลูกค้าองค์กร
- Anat Ashkenazi, CFO ของ Alphabet กล่าวว่า หลังจากนี้บริษัทยังเน้นคุมต้นทุน เพื่อสนับสนุนการลงทุนใน AI ในอนาคต โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่จะถูกนำไปใช้ในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับธุรกิจ Cloud และ บริการด้าน AI เพื่อให้สอดรับกับความต้องการ AI ที่เพิ่มขึ้น
- โดย Alphabet นับเป็น 1 ใน 2 บริษัทในกลุ่ม Magnificent 7 ที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น หลังรายงานผลการดำเนินงานออกมาเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
Amazon กำไรโตอย่างแข็งแกร่ง หนุนจากการเติบโตของธุรกิจ Cloud
- Amazon รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสล่าสุดออกมาดีกว่าคาด โดยมีรายได้เติบโต +11%YoY อยู่ที่ $158.88 billion และกำไรเติบโต 55% YoY อยู่ที่ $15.33 billion ซึ่งรับแรงหนุนจากการเติบโตของธุรกิจ Cloud และแผนการลดต้นทุนของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา
- รายได้หลักที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ E-Commerce ทั้งภายในสหรัฐฯ และต่างประเทศยังคงเติบโตประมาณ 5-10% รับแรงหนุนจากการการจัดโปรโมชั่นลดราคาและการให้สิทธิประโยชน์เสริมสำหรับสมาชิก Prime ที่ช่วยกระตุ้นความสนใจในการซื้อของผู้บริโภค
- ส่วนธุรกิจที่เติบโตโดดเด่น ได้แก่ ธุรกิจโฆษณา และธุรกิจ Cloud อย่าง Amazon Web Services (AWS) ที่ยังเติบโต +19% ทั้งสองธุรกิจ ซึ่งการเติบโตในครั้งนี้ของธุรกิจ Cloud ถือเป็นการแสดงจุดยืนที่แข็งแกร่งของบริษัท แม้ว่าหลายบริษัทจะเริ่มมีการลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ หลังมีความกังวลด้านเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากขึ้น
- ผู้บริหารของ Amazon กล่าวว่ามีแผนที่จะเพิ่มค่าใช้จ่ายในการลงทุนในด้าน Data Centers และอุปกรณ์ในการพัฒนาเทคโนโลยี AI อื่นๆ เพื่อเสริมจุดแข็งในด้าน AI นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะให้บริการ E-Commerce แบบ Temu เพื่อทำให้สินค้าราคาถูกในแอป Amazon เป็นที่มองเห็นของลูกค้ามากขึ้น รวมทั้งยังคาดว่ารายได้ในไตรมาสถัดไปจะอยู่ระหว่าง $181.5 – $188.5 billion ใกล้เคียงกับระดับที่ตลาดคาดที่ $186.2 billion
- Amazon เป็นอีกบริษัทหนึ่งที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นหลังรายงานผลการดำเนินงานออกมาแล้วมีกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง จากการคุมต้นทุนและการเติบโตที่แข็งแกร่งของธุรกิจ Cloud
Apple รายได้โตดีกว่าคาด หนุนโดยยอดขาย iPhone แต่คาดรายได้ไตรมาสหน้าจะชะลอ
- Apple รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสล่าสุดออกมาดีกว่าคาด โดยมีรายได้เติบโต 6% YoY อยู่ที่ $94.9 billion ส่วนกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.97 แต่หากไม่นับรวมค่าธรรมเนียมครั้งเดียวที่เกี่ยวข้องกับคำตัดสินของศาลทั่วไปในยุโรป กำไรต่อหุ้นของบริษัทจะอยู่ที่ $1.64
- โดยหากดูรายได้ตามประเภทสินค้า รายได้ส่วน Product ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หนุนโดยยอดขาย iPhone ที่เพิ่มขึ้นทุกภูมิภาคและดีกว่าที่ตลาดคาด หลังบริษัทเปิดตัว iPhone 16 พร้อมโปรแกรม Apple Intelligence ในช่วงเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา ขณะที่รายได้สินค้าอื่นๆ ก็ยังคงเติบโต แต่ยังคงต่ำกว่าที่ตลาดคาด ด้านรายได้ส่วน Services เติบโตทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่องรับแรงหนุนจากบริการ iCloud และการรับประกัน AppleCare ที่มีผู้ใช้งานมากขึ้น
- ผู้บริหารของ Apple กล่าวว่า ยอดขายในจีนในไตรมาสที่ผ่านมายังคงอ่อนแอ และมีแนวโน้มที่จะอ่อนแอต่อ จากการแข่งขันที่สูงภายในประเทศจีน ขณะเดียวกัน ยังคาดว่ายอดขายรวมใน
ไตรมาสถัดไปมีแนวโน้มเติบโตต่ำกว่าคาด ซึ่งประเด็นทั้งสองเป็นปัจจัยกดดันที่ทำให้ราคาหุ้น Apple ปรับตัวลงหลังรายงานผลการดำเนินงานออกมา
Meta รายได้และกำไรโตดีกว่าคาด แต่ตลาดกังวลต่อแนวโน้มค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่สูงขึ้น
- Meta Platform รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสล่าสุดออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด โดยมีรายได้เติบโต +19% YoY อยู่ที่ $40.59 billion และกำไรเติบโต +35% YoY อยู่ที่ $15.7 billion แต่เป็นอัตราการเติบโตที่ชะลอลงมากที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2023
- ถึงแม้รายได้หลักจากธุรกิจโฆษณายังคงเติบโต +18.7% YoY แต่รายได้โฆษณาในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเริ่มเติบโตในอัตราที่ชะลอลง หลังการใช้จ่ายด้านโฆษณาในประเทศจีนปรับตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ นอกจากนี้ตัวเลขผู้ใช้งานรายวันทั่วโลกก็เพิ่มขึ้นช้ากว่าที่ตลาดคาดการณ์ อยู่ที่ 3.29 ล้านราย ในส่วนรายได้จากธุรกิจ Reality Labs ยังคงเติบโต +29% YoY แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาด และยังขาดทุนอยู่ที่ $4.4 billion
- ผู้บริหารของ Meta กล่าว่า บริษัทมีแผนที่จะปรับเพิ่มประมาณการค่าใช้จ่ายในการลงทุน (CapEx) ในปี 2025 อย่างมีนัยสำคัญ โดยจะมุ่งเน้นไปที่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI และ Data Center เนื่องจากเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้บริษัทเติบโตและทำให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์การใช้งานผลิตภัณฑ์ของบริษัทได้ดียิ่งขึ้น
- จากข้อมูลตัวเลขผู้ใช้งานรายวันที่เพิ่มขึ้นช้ากว่าคาด และการตั้งค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่สูงขึ้น ทำให้นักลงทุนกังวลต่อผลการดำเนินงานในระยะข้างหน้า และส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลง
Microsoft รายงานรายได้และกำไรเติบโตแข็งแกร่ง แต่คาดรายได้อาจชะลอในไตรมาสหน้า
- Microsoft รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสล่าสุดออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด โดยมีรายได้เติบโต +11% YoY อยู่ที่ $65.59 billion และกำไรเติบโต +16% YoY อยู่ที่ $24.67 billion
- โดยไตรมาสที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจที่เติบโตได้โดดเด่น ได้แก่ กลุ่มธุรกิจ Cloud ที่มีรายได้เติบโตถึง 23% รับแรงหนุนจากรายได้ในส่วน Azure และบริการ Cloud อื่นๆ ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 33% ด้านกลุ่มธุรกิจ Xbox Content และ Service ก็มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งที่ 61% รับแรงหนุนจากการรับรู้รายได้จากการเข้าซื้อกิจการ Activision Blizzard ไปในช่วงก่อนหน้า
- Amy Hood หัวหน้าฝ่ายการเงินของ Microsoft ได้ออกมากล่าวว่า รายได้ในไตรมาสถัดไปอาจชะลอตัวลง โดยรับแรงกดดันจากธุรกิจ Azure ที่อาจชะลอตัวลง จากการที่กำลังการผลิตในการจัดหาผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้งานด้าน AI ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้บริษัทคาดว่าปัญหาดังกล่าวจะเริ่มดีขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025
- หลังรายงานผลการดำเนินงาน ราคาหุ้น Microsoft ปรับตัวลงหนัก เนื่องจากตลาดกังวลว่าการชะลอตัวของรายได้ธุรกิจ Azure อาจส่งต่อความสามารถในการแข่งขันด้าน AI ในอนาคต
จากรายละเอียดงบข้างต้น จะเห็นได้ว่าโดยภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาสล่าสุดของ 5 บริษัทในกลุ่ม Magnificent 7 ที่ประกาศออกมาในสัปดาห์นี้ ยังคงมีรายได้และกำไรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แต่ราคาหุ้นของบางบริษัทกลับปรับตัวลงสวนทางกับงบที่แข็งแกร่ง เนื่องจากนักลงทุนให้ความสำคัญกับมุมมองในระยะข้างหน้าของผู้บริหารมากขึ้น ซึ่งหากเราดูมุมมองที่ผู้บริหารออกมาพูด จะพบว่าราคาหุ้นของบริษัทที่ปรับตัวลง จะเป็นบริษัทที่มีการคาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานในไตรมาสหน้าจะออกมาอ่อนแอ หรือคาดว่าในปีหน้าจะมีการใช้จ่ายด้านการลงทุนที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ราคาหุ้นของบริษัทในกลุ่ม Magnificent 7 จะปรับตัวลงจากมุมมองที่อ่อนแอของผู้บริหาร แต่เรามองว่าบริษัทเหล่านี้ยังมีโอกาสเติบโตอีกมากจากการเข้ามาของเทคโนโลยี AI และ Cloud Services ซึ่งคาดว่าจะเป็นส่วนสำคัญของการเติบโตของหลายๆ บริษัทในอนาคต ทำให้การย่อตัวลงของราคาหุ้นหลังการประกาศงบในครั้งนี้น่าจะเป็นเพียงแค่ปัจจัยระยะสั้นเท่านั้น
ที่มา: CNBC , Bloomberg , Company Website