ในสัปดาห์ที่ผ่านมาทางกระทรวงการคลังได้มีการหารือกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ในการจัดตั้งกองทุนใหม่ คือ กองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund : Thai ESG) ซึ่งจะลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้ของบริษัทในไทยที่มีการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG และกองทุนดังกล่าวยังถือเป็นกองทุนลดหย่อนภาษีใหม่ โดยหนึ่งในเหตุผลของการจัดตั้งกองทุน คือ ต้องการส่งเสริมการลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นไทย และสนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนทำธุรกิจโดยเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นบริษัท ESG มากขึ้น
เงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ของ Thai ESG
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบการจัดตั้งกองทุนไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund : Thai ESG) เพื่อส่งเสริมการออมและการลงทุนระยะยาวผ่านการลงทุนในธุรกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืน (ESG) และสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ตั้งแต่ปี 2566 (ยื่นภาษีในปี 2567)
โดยรายละเอียดและเงื่อนไขการลดหย่อนภาษีของกองทุน Thai ESG มีดังนี้
1) กองทุนมีการลงทุนในหุ้นที่อยู่ในบัญชีรายชื่อหุ้นยั่งยืนและตราสารหนี้ที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
2) ผู้มีเงินได้มีสิทธิหักลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุน Thai ESG ในอัตราไม่เกิน 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ต้องไม่เกิน 100,000 บาท โดยไม่นำไปรวมกับวงเงินของกองทุน SSF, RMF และหมวดการลดหย่อนภาษีเพื่อการเกษียณอื่น ๆ ที่ได้วงเงินลดหย่อนภาษีรวมกันสูงสุดไม่เกิด 500,000 บาท
3) ต้องถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่า 8 ปี นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุน โดยสามารถเริ่มซื้อหน่วยลงทุนได้ตั้งแต่ปี 2566 – 31 ธ.ค. 2575 โดยไม่มีขั้นต่ำและไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่องทุกปี โดยต้องเป็นไปตามเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศ
4) การขายหน่วยลงทุน Thai ESG ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำเงินหรือผลประโยชน์ที่ได้รับมารวมคำนวณภาษีเงินได้ หากถือครบเงื่อนไขขั้นต่ำ 8 ปีนับตั้งแต่วันที่ซื้อ
กองทุนลดหย่อนภาษีของไทยในอดีตมีผลกระทบต่อ SET Index ขนาดไหน
หลังจากตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา กองทุนที่นักลงทุนสามารถใช้สิทธิในการลดหย่อนภาษีได้เปลี่ยนจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund : LTF) ที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นไทย มาเป็นกองทุนรวมเพื่อการออม (Super Saving Funds : SSF) ที่มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ใดก็ได้ ทำให้หลายคนให้เหตุผลในการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาว่าเป็นเพราะไม่มีเม็ดเงินจากนักลงทุนที่ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีในกองทุน LTF เข้ามาซื้อหุ้นไทยเหมือนที่ผ่านมา โดยในอดีตกองทุน LTF จะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยประมาณปีละ 2 หมื่นกว่าล้านบาท
ซึ่งพบว่าผลตอบแทนของ SET Index ในช่วงที่ยังมีกองทุน LTF (ในช่วงระหว่างเดือนส.ค. 2004 ถึง 31 ธ.ค. 2019) ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 193.8% โดยในช่วงต้นของการลงทุนใน LTF ที่มีเงื่อนไขการถือครอง 5 ปีปฏิทิน (ปี 2004 -2015) SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 139.5% และในช่วงหลังที่ LTF มีการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขถือครองเพิ่มขึ้นเป็น 7 ปีปฏิทิน (ปี 2016-2019) SET Index ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ราว 22.7%
สำหรับกองทุนที่มาทดแทน LTF คือกองทุน SSF นั้นมี 2 ประเภทคือกองทุน SSF ธรรมดาที่มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ใดก็ได้ซึ่งลงทุนได้ตั้งแต่ปี 2020 – 2024 และกองทุน SSFX ที่เป็นกองทุนพิเศษที่จัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยพยุงหุ้นไทยในช่วงที่ปรับตัวลดลงมาแรงจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยสามารถลงทุนได้แค่ช่วงระหว่างวันที่ 1 เม.ย – 30 มิ.ย. 2020 และทุกกองทุนต้องมีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นไทยเท่านั้น ซึ่งผลตอบแทนของ SET Index ในช่วงที่มีกองทุน SSFX ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ราว 21.1% ขณะที่กองทุน SSF ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมาจนถึงปัจจุบัน (17 พ.ย 2023) SET Index สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ 28% ส่วนหนึ่งก็น่าจะเป็นเพราะดัชนี SET Index ในช่วงเริ่มต้นเดือนเมษายนนั้นอยู่ที่ระดับราว 1,105 จุดเท่านั้น เนื่องจากตลาดยังคงได้รับผลกระทบจากช่วงเริ่มต้นของการแพร่ระบาดของ COVID-19
ด้านเม็ดเงินลงทุนที่มาจากกองทุน SSF นั้นพบว่ากองทุน SSFX ที่เปิดให้ลงทุนได้เพียงแค่ช่วง 3 เดือนเท่านั้นมีเม็ดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 8,885 ล้านบาท โดยเงื่อนไขการลงทุนคือสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 200,000 บาท โดยไม่ต้องนำไปรวมกับกองทุน RMF, SSF แบบธรรมดาและกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ ส่วนกองทุน SSF แบบธรรมดา มีขนาดทรัพย์สินสุทธิรวมทั้งหมด ณ สิ้นปี 2022 ราว 50,000 ล้านบาท โดยเป็นกองทุนหุ้นไทยที่จัดอยู่ในหมวด Equity Large-Cap ราว 15,000 ล้านบาท
สภาธุรกิจตลาดทุนไทยคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าตลาดหุ้นไทยจากกองทุน Thai ESG ในปีแรกราว 10,000 ล้านบาท ซึ่งกองทุนน่าจะสามารถจัดตั้งและเปิดให้นักลงทุน ลงทุนได้ตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคมเป็นต้นไป ซึ่งถือว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดี เนื่องจากที่ผ่านมา หากย้อนกลับไปดูสถิติจากกองทุน LTF เฉลี่ยรายเดือนตั้งแต่ปี 2005 – 2019 เดือน ธ.ค. คือเดือนที่มีเม็ดเงินไหลเข้ามากองทุนมากที่สุดราวเกือบ 20,000 ล้านบาท
แต่เงื่อนไขการลดหย่อนภาษีของ LTF ที่สามารถใช้สิทธิได้มากกว่า คือสูงสุด 15% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 500,000 บาท นั่นก็หมายความว่าถึงแม้กองทุน Thai ESG จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเท่ากับหรือมากกว่ากองทุน LTF แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่เม็ดเงินที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยก็อาจจะไม่เท่ากับช่วงที่มีกองทุน LTF
อย่างไรก็ดีในช่วงปี 2023 ที่ผ่านมามีปัจจัยลบจากทั้งภายนอกและภายในกดดันตลาดหุ้นไทยให้ปรับตัวลดลง และเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่สร้างผลตอบแทนติดลบมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ดังนั้นอย่างน้อยการเกิดขึ้นของกองทุน Thai ESG ก็น่าจะช่วยให้ตลาดหุ้นไทยสามารถฟื้นขึ้นได้บ้างในช่วงเดือนสุดท้ายของปี และยังน่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนหุ้นไทยได้อีกในระยะยาว
ที่มา: Morningstar Direct, SET, Thansettakij, Prachachat, Bangkokbiznews, Thairath