สถานการณ์ที่กำลังเป็นประเด็นอันร้อนแรง และเป็นที่จับตามองของทุกคนในแวดวงเศรษฐกิจทั่วโลก ซึ่งถ้าหากเหตุการณ์นี้ไม่สามารถหาทางออกได้ทันเวลา จะกระทบต่อเศรษฐกิจ และความน่าเชื่อถือของสหรัฐฯเป็นอย่างมาก นั่นก็คือ “วิกฤติเพดานหนี้ของสหรัฐอเมริกา” ที่เข้าใกล้เส้นตายอีกภายในไม่กี่วัน ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาจะมีหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ต้องยอมรับว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้กระจายเป็นวงกว้างเทียบเท่ากับผลกระทบจากกรณีสหรัฐฯผิดนัดชำระหนี้ได้เลย
การกำเนิดของเพดานหนี้และบทเรียนในปี 2011
การตั้งเพดานหนี้ เริ่มต้นขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1917 เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยสนับสนุนการเงินต่อการทำสงคราม โดยสภาคองเกรสไม่จำเป็นต้องลงมติทุกครั้งเมื่อจะออกพันธบัตร แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนไป การออกพันธบัตรในสหรัฐฯนำมาใช้ประโยชน์ในการช่วยพยุงเศรษฐกิจในยามวิกฤต ใช้ในโครงการประกันสังคม ประกันสุขภาพ จวบจนในช่วง 2-3 ปีมานี้ สหรัฐฯได้ใช้กลไกนี้ในการออกมาตรการรับมือผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19
กว่าร้อยปีที่ผ่านมา สหรัฐฯได้มีการปรับเพิ่มเพดานหนี้รวมทั้งหมด 78 ครั้ง และในปี 2011 เป็นปีที่เกิดเหตุการณ์ที่กระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯมากที่สุด เนื่องจากมีการต่อรองกันยาวนานจากพรรครีพับลิกันซึ่งครองเสียงข้างมากในสภาล่าง และเดโมแครตซึ่งครองเสียงข้างมากในสภาสูง จนในที่สุดก็ได้ข้อสรุปโดยออกประกาศใช้กฎหมาย the Budget Control Act of 2011 ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับวันสิ้นสุดการใช้มาตรการพิเศษ “X Date” หรือ ทันเส้นตายพอดี (สถานการณ์ที่เงินงบประมาณใช้จ่ายหมดลงและไม่สามารถชำระหนี้ได้เต็มจำนวนและตรงเวลา จำเป็นต้องเลื่อนเวลาการผิดชำระหนี้ออกไป) เป็นผลให้สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P ปรับลดอันดับเครดิตเรตติ้งของสหรัฐฯลงจาก AAA เป็น AA+ ด้วยเหตุผลเรื่องความล้มเหลวของสหรัฐฯในการสร้างเสถียรภาพการคลังในระยะกลาง และทำให้อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปีทยอยลดลงในช่วง 1 เดือนก่อนเพิ่มเพดานหนี้และลดลงอย่างมีนัยยะหลังเพิ่มเพดานหนี้ นอกจากนี้ ยังส่งผลให้ ตลาดหุ้น S&P500 ถูกเทขาย ดัชนีปรับลดลงราว 17% ภายใน 2 สัปดาห์จากความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลงต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์
เกิดวิกฤติอีกครั้งในปี 2023
ตั้งแต่ปี 1917 สหรัฐฯได้เพิ่มเพดานหนี้มาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีการออกมาตรการเพื่อบรรเทาทุกข์พร้อมกับฟื้นฟูเศรษฐกิจ ก่อให้เกิดหนี้เพิ่มขึ้นจำนวนมากจนเพดานหนี้ขยับสูงขึ้นไปอยู่ที่ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าวงเงินนี้จะช่วยต่ออายุให้สหรัฐฯอยู่ได้ไปจนถึงไตรมาสที่ 2 ปี 2023 แต่กระนั้นเอง สถานการณ์ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดการณ์เอาไว้ โดยเพดานหนี้สหรัฐฯชนเพดานก่อนกำหนด ณ วันที่ 19 มกราคม 2023 รวมถึงเงินคงคลัง (Cash Balance) ที่นำมาจ่ายในช่วงนี้ปรับลดลงมาเร็วกว่าที่คาด เนื่องจากรายได้จากภาษีในเดือน เมษายน ต่ำว่าเป้าหมาย จึงเป็นประเด็นที่นักลงทุนทั่วโลกกังวลเป็นอย่างมาก เนื่องจากใกล้วัน “X-date” เข้ามาทุกที
โดยล่าสุด เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังได้ออกมากพูดย้ำเตือนหลายครั้งว่า สหรัฐฯมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ในต้นเดือนมิถุนายน 2023 นี้ หลังจากนั้นจึงมีการหารือกันอย่างจริงจังเพื่อแก้ปัญหาเพดานหนี้ระหว่างประธานาธิบดีโจ ไบเดน และประธานสภาผู้แทนราษฎรฯ แมคคาร์ธี แต่ทว่า การหารือนั้นไม่สามารถสำเร็จลุล่วงได้ในทันที ดั่งกรุงโรมที่ไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว เนื่องจากพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากในสภาล่าง และพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากในสภาสูง เช่นเดียวกับปี 2011 จึงไม่น่าแปลกใจที่การประชุมหาข้อตกลงจะใช้เวลายืดเยื้อและยังหาข้อสรุปมิได้
จากกราฟจะเห็นว่า ผลตอบแทนตั๋วเงินคลังที่ใกล้จะครบกำหนดตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ปรับตัวขึ้นไปกว่า 6% โดยพุ่งขึ้นไปอย่างมีนัยยะ หลังจากการปรึกษาหารือที่ยังไม่มีข้อสรุป ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของตลาดที่มีต่อวิกฤติเพดานหนี้ในครั้งนี้
จะเกิดอะไรขึ้น หากสหรัฐฯผิดนัดชำระหนี้?
ปัญหาเพดานหนี้สหรัฐฯ เป็นหนึ่งใน Black Swan Event คือเหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อย คาดการณ์ได้ยาก แต่หากเกิดขึ้นแล้วจะมีผลต่อตลาดค่อนข้างรุนแรง ถ้าหากสหรัฐฯไม่สามารถเพิ่มเพดานหนี้ให้ทัน X-date เป็นเหตุให้เกิดการผิดนัดชำระหนี้ขึ้นมา จะส่งผลกระทบได้ดังนี้
ผลกระทบต่องบประมาณของกระทรวงการคลัง ไม่สามารถชำระหนี้ตามภาระผูกพันต่างๆได้ เช่น
- ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับผลประโยชน์ของสวัสดิการสังคม
- ค่าใช้จ่ายสวัสดิการด้านการดูแลสุขภาพ
- ค่าใช้จ่ายด้านการทหาร
ผลกระทบต่อสหรัฐฯ
- พันธบัตรสหรัฐฯถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลง
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯเพิ่มขึ้น ต้นทุนการกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้น
- สกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง จากการลดลงของนักลงทุนต่างชาติที่ถือครองพันธบัตร
- เงินเข้ามาลงทุนในสหรัฐฯลดลงจากความไม่แน่นอนของเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ
- เศรษฐกิจสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะถดถอย
การประชุมในสภาคองเกรส มุ่งเน้นการควบคุมค่าใช้จ่ายในส่วนต่างๆทั้งหมดมูลค่า 4.8 ล้านล้านดอลลาร์ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายต่างถกเถียงในส่วนเล็กน้อยของงบประมาณรวมของรัฐบาลเท่านั้น ซึ่งไม่รวมงบประมาณสำคัญอย่างเช่น โครงการประกันสุขภาพ ประกันสังคม และการจ่ายดอกเบี้ยในพันธบัตร ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดของรายจ่ายรัฐบาล
สหรัฐฯนั้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีความน่าเชื่อถือเป็นอันดับต้นๆของโลก ทำให้ทุกๆประเทศต่างนำเงินมาลงทุนกับสหรัฐฯโดยการเข้าซื้อพันธบัตรสหรัฐฯเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมีความมั่นคงและได้รับผลตอบแทนที่สูงในช่วงนี้ ฉะนั้นแล้ว หากการขยายเพดานหนี้ของสหรัฐฯมีความยืดเยื้อมากเกินไป จะส่งผลกระทบไม่เพียงแค่เศรษฐกิจสหรัฐฯเท่านั้น แต่ยังกระทบไปถึงเศรษฐกิจและระบบการเงินทุกประเทศทั่วโลกอีกด้วย แต่อย่างไรก็ดี จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา สหรัฐฯยังไม่เคยผิดนัดชำระหนี้เลยสักครั้ง และคาดว่าในครั้งนี้ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นนั้น เรายังคงต้องติดตามสถานการณ์กันต่อไปว่าจะได้ข้อสรุปภายในระยะเวลา X-date หรือไม่ และผลกระทบจะมีมากน้อยเพียงใดในช่วงต้นเดือนมิถุนายนนี้
ที่มา : JP Morgan, Bloomberg