ปี 2023 ถือว่าเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศจีน เนื่องจากรัฐบาลประกาศเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 8 ม.ค. ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าว ตามมาด้วยความคาดหวังจากทั่วโลกว่าเศรษฐกิจจีนจะเริ่มฟื้นตัวจากภายในประเทศออกสู่ภายนอก โดยในช่วงไตรมาสแรก จีนสามารถฟื้นตัวได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ยังคงห่างไกลจากเป้าหมาย ทำให้ภาครัฐจำเป็นต้องออกมากระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มโอกาสบรรลุเป้าหมาย GDP ปี 2023 ที่ 5% โดยเรามองว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะช่วยหนุนให้จีนบรรลุเป้าหมายได้ คือการท่องเที่ยวภายใน ประเทศ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดการบริโภคของชาวจีนได้เป็นอย่างดี โดยตั้งแต่ต้นปี การท่องเที่ยวของจีนเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัวขึ้น และเราคาดว่ามีโอกาสที่โมเมนตัมของการฟื้นตัวจะดีต่อเนื่อง ถือเป็นอีกหนึ่งความหวังของเศรษฐกิจจีนในช่วงครึ่งปีหลัง
จำนวนครั้งการเดินทางและรายได้จากการท่องเที่ยวภายในประเทศ ฟื้นตัวชัดนับตั้งแต่ต้นปี
นับตั้งแต่ต้นปี ประเทศจีนมีวันหยุดสำคัญไปแล้ว 4 ครั้ง ได้แก่ เทศกาลตรุษจีนเดือน ม.ค., เทศกาลเช็งเม้งเดือน เม.ย., วันหยุดเนื่องในวันแรงงานแห่งชาติเดือน พ.ค. และเทศกาลไหว้บะจ่างเดือน มิ.ย. โดยหากพิจารณาจากข้อมูลเดือนล่าสุดจากกระทรวงการท่องเที่ยวเเละวัฒนธรรมของจีนพบว่า จำนวนครั้งการเดินทาง และรายได้จากการท่องเที่ยวภายในประเทศ เริ่มฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับปี 2019 (ช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาด) โดยเฉพาะวันหยุดเนื่องในวันแรงงานแห่งชาติในเดือน พ.ค. ที่จำนวนครั้งของการเดินทางฟื้นตัวขึ้นมาเป็น 119% และรายได้จากการท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้นมาเป็น 101% ซึ่งมากกว่าช่วงปี 2019 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาข้อมูลการใช้จ่ายโดยเฉลี่ยต่อหัวของนักท่องเที่ยว บ่งชี้ว่าชาวจีนยังไม่กลับมาใช้จ่ายได้เท่ากับช่วงก่อนการแพร่ระบาด สะท้อนถึงความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากผลกระทบในช่วง Lockdown ที่ประชากรจำนวนหนึ่งจำเป็นต้องออกจากตลาดแรงงาน และยังไม่สามารถกลับเข้ามาได้ รวมถึงที่ผ่านมารัฐบาลจีนไม่ได้มีการกระตุ้นเศรษฐกิจทางตรงโดยการแจกเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดเหมือนกับทางฝั่งสหรัฐฯ จึงทำให้การฟื้นตัวของการบริโภคใช้ระยะเวลาที่มากกว่า
จำนวนครั้งการเดินทางและรายได้จากการท่องเที่ยวในแต่ละเทศกาลของประเทศจีนเทียบกับปี 2019
เทศกาลไหว้พระจันทร์และวันชาติจีน (Golden Week) ที่มาพร้อมมาตรการกระตุ้นการบริโภคคือความ หวังของเศรษฐกิจจีนในช่วงครึ่งปีหลัง
หากมองไปในช่วงครึ่งปีหลัง เรามองว่าประชาชนจะเริ่มกลับมาใช้จ่ายเพิ่มขึ้น หนุนจากการที่ภาครัฐขอความร่วมมือจากธนาคารพาณิชย์ให้ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนนำเงินฝากออกมาใช้จ่ายมากขึ้น โดยในปี 2022 พบว่ามีปริมาณเงินฝากปรับเพิ่มขึ้นมากถึง 80% YoY สะท้อนว่าชาวจีนมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงการแพร่ระบาด แต่ยังไม่ค่อยนำเงินออกมาใช้จ่าย
ทั้งนี้ ในช่วงที่เหลือของปี จะมีวันหยุดเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ (29 ก.ย.) และ วันชาติจีน (29 ก.ย.- 6 ต.ค.) ซึ่งในปีนี้จะเป็นการหยุด 8 วันต่อเนื่องกัน ซึ่งโดยปกติแล้ว วันชาติจีนถือเป็นเทศกาลที่มีจำนวนครั้งของการเดินทางมากที่สุด โดยในปี 2019 มีจำนวนการเดินทางมากถึง 782 ล้านครั้ง ขณะที่ปี 2022 มีจำนวนครั้งการเดินทางลดลงมาเหลือเพียง 422 ล้านครั้งเท่านั้น ซึ่งหากพิจารณาจากการท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดเทศกาลในครึ่งปีแรกที่ฟื้นตัวได้ใกล้เคียงกับปี 2019 ทำให้เราคาดหวังว่าวันหยุดยาวในช่วงที่เหลือของปี การท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้ในทิศทางเดียวกัน รวมถึงการใช้จ่ายโดยเฉลี่ยต่อหัวของนักท่องเที่ยวมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคที่คาดว่าจะออกมาเพิ่มเติม ในการประชุม Politburo ช่วงสิ้นเดือน มิ.ย.นี้
จำนวนครั้งการเดินทางในแต่ละเทศกาลของประเทศจีนตั้งแต่ปี 2019-2022
ภายหลังจากมีการประกาศเปิดประเทศ เรายังไม่เห็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เจาะจงไปที่การบริโภค มีเพียงมาตรการกระตุ้นผ่านนโยบายการเงินที่เพิ่งจะเริ่มทำอย่างจริงจังในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งอาจจะเห็นผลในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเราคาดหวังว่ารัฐบาลจะมีมาตรการกระตุ้นการบริโภคเพิ่มเติม ที่จะมาพร้อมกับวันหยุดยาวครั้งใหญ่ในรอบ 3 ปี และจะช่วยหนุนให้ภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศจีน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 11% ของ GDP (ข้อมูลปี 2019) ให้กลับมามีบทบาท และช่วยหนุนการเติบโตของ GDP จีน ให้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 5% ในปีนี้
ที่มา : Goldman Sachs ,Huatai Research