
ในตอนนี้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) อาจกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าลำบากใจและกลืนไม่เข้าคายไม่ออก นั่นคือการถูกบีบให้ต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งไม่ใช่เพราะภารกิจในการควบคุมเงินเฟ้อลุล่วงไปด้วยดี แต่เป็นเพราะสัญญาณจากภาวะเศรษฐกิจที่กำลังอ่อนแรงลง
แม้ในการประชุมครั้งล่าสุด คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับเดิม แต่ก็ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่ากำลังเข้าใกล้การกลับทิศนโยบายมาสู่การผ่อนคลาย หรือการลดดอกเบี้ยอีกครั้ง ซึ่งอาจเกิดขึ้นเร็วที่สุดในการประชุมครั้งถัดไปช่วงกลางเดือนกันยายน อย่างไรก็ตาม นี่อาจไม่ใช่ข่าวดีเหมือนที่หลายฝ่ายคิด ท่าทีที่ผ่อนคลาย (Dovish) ของ Fed ในครั้งนี้ อาจเป็นสิ่งที่นักลงทุนควรจับตามองอย่างใกล้ชิด
สถานการณ์ปัจจุบันแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับช่วงปลายปี 2024 ที่ภาวะเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ไม่น่ากังวล ซึ่งเปิดทางให้ Fed สามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้อย่างมั่นใจถึง 3 ครั้งรวดและลดลงถึง 1% จากระดับ 5.50% ลงมาอยู่ที่ 4.50% ท่ามกลางภาพเศรษฐกิจที่ดูเหมือนจะเข้าสู่ภาวะ “Soft Landing” แต่ในครั้งนี้ การลดดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นเพื่อรับมือกับความอ่อนแอทางเศรษฐกิจ ซึ่งโดยปกติแล้วมักจะนำไปสู่การสูญเสียตำแหน่งงานและอัตราการว่างงานที่สูงขึ้น
ในการแถลงข่าวหลังการประชุม Jerome Powell ประธาน Fed ได้ยอมรับเรื่องนี้ทางอ้อม โดยกล่าวในแถลงการณ์ว่า “การเติบโตของกิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงในช่วงครึ่งแรกของปี” ซึ่งถือเป็นการปรับลดมุมมองจากเมื่อการประชุมครั้งที่แล้วเพียง 6 สัปดาห์ก่อน ที่ยังระบุว่าเศรษฐกิจ “ยังคงขยายตัวในอัตราที่แข็งแกร่ง” เขาพยายามอธิบายเหตุผลที่ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้โดยเน้นย้ำถึง “ความเสี่ยงขาลงของตลาดแรงงาน” ขณะเดียวกันก็พยายามลดทอนความกังวลว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เกิดจากนโยบายกำแพงภาษีของ ปธน.Trump นั้นอาจเป็นเพียง “เรื่องชั่วคราว” เท่านั้น ซึ่งผลกระทบของนโยบายภาษีของ Trump ยังเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ยากแม้กระทั่งกับในมุมมองของกรรมการ Fed เองโดยผลการโหวตของคณะกรรมการ Fed ในการประชุมครั้งล่าสุดได้แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความเห็นที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว เมื่อมีกรรมการถึง 2 ท่านที่ไม่เห็นด้วยกับมติคงดอกเบี้ยและต้องการให้ลดในดอกเบี้ยทันที ซึ่งถือเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1993 ที่เกิดเสียงแตกในระดับนี้
อย่างไรก็ดี ความไม่แน่นอนจากนโยบายกำแพงภาษีของ Trump เริ่มแสดงให้เห็นบ้างแล้วจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศออกมาก่อนหน้านี้
หัวใจหลักของเศรษฐกิจเริ่มแผ่วลง : แม้ตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ของสหรัฐฯจะขยายตัว 3% แต่เมื่อเจาะลึกลงไปในองค์ประกอบสำคัญอย่าง “การบริโภคส่วนบุคคล” ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่าสองในสามของระบบเศรษฐกิจทั้งหมด กลับขยายตัวเพียง 1.4% หลังจากที่เติบโตอย่างอ่อนแอเพียง 0.5% ในไตรมาสแรก เมื่อรวมกันแล้วจึงกลายเป็นช่วง 6 เดือนที่การใช้จ่ายของชาวอเมริกันย่ำแย่ที่สุดนับตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2022
ตลาดแรงงานเริ่มส่งสัญญาณอ่อนแรงลง : ข้อมูลจากกระทรวงแรงงานในเดือนมิถุนายนชี้ว่า อัตราการจ้างงานใหม่อยู่ที่เพียง 3.3% ซึ่งไม่เพียงแต่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยก่อนยุคโควิดที่ประมาณ 3.9% อย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับตัวเลขที่มักจะเกิดขึ้นในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย นี่คือสัญญาณว่าตลาดแรงงานที่เคยเป็นเสาหลักค้ำจุนเศรษฐกิจกำลังเริ่มอ่อนแอลง
ต้นทุนที่มองไม่เห็นจากกำแพงภาษี : The Budget Lab ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเยล ประเมินว่านโยบายกำแพงภาษีของ Trump ที่บังคับใช้ไปแล้วและที่กำลังจะตามมา จะสร้างความเสียหายโดยตรงต่อเศรษฐกิจ โดยคาดว่าจะฉุด GDP ของสหรัฐฯ ให้ลดลงถึง 115,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และทำให้รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนของชาวอเมริกันหายไปถึง 2,400 ดอลลาร์สหรัฐ นี่คือต้นทุนที่ส่งผลกระทบทั้งในระดับมหภาคและในระดับที่จะเกิดกับประชาชนชาวอเมริกันโดยตรง
จากข้อมูลที่ออกมาเหล่านี้จึงไม่น่าแปลกใจที่นักเศรษฐศาสตร์กว่า 70 คนที่สำรวจโดย Bloomberg ได้พากันปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของสหรัฐฯ ในปีนี้ลง เหลือเพียง 1.50% จากที่เคยคาดการณ์ไว้สูงสุดที่ 2.30% เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ช้าที่สุดนับตั้งแต่ภาวะถดถอยจากวิกฤตโควิดในปี 2020 และแนวโน้มในปี 2026 ก็ยังดูไม่สดใส โดยคาดว่าจะเติบโตเพียง 1.6%
ภาวะเงินเฟ้อที่ย้อนแย้ง และความเสี่ยงที่นโยบายภาษีจะย้อนกลับมาทำร้ายสหรัฐฯเอง
โดยปกติแล้ว เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว เงินเฟ้อก็ควรจะชะลอตัวตามไปด้วย แต่สถานการณ์ปัจจุบันกลับซับซ้อนกว่านั้น ทั้งนักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนต่างคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะ “เร่งตัวสูงขึ้น” สวนทางกับเศรษฐกิจที่อ่อนแอลง สาเหตุก็เพราะบริษัทต่างๆ พยายามผลักภาระต้นทุนจากกำแพงภาษีไปยังผู้บริโภค
ข้อมูลจากตลาดอนุพันธ์ ซึ่งสะท้อนการเดิมพันของนักลงทุนมืออาชีพในตลาดพันธบัตร ชี้ให้เห็นว่าการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในอีก 12 เดือนข้างหน้า ได้เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่าจากเดือนกันยายน มาอยู่ที่ประมาณ 3.44% ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าเป้าหมาย 2% ของ Fed อย่างมาก
ที่สำคัญไปกว่านั้น นโยบายการเงินในปัจจุบันก็ไม่ได้ถือว่า “ตึงตัว” จนเกินไปนัก หากใช้หลักการพื้นฐานอย่าง Taylor Rule ซึ่งพิจารณาจากอัตราการว่างงาน เงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยในภาวะสมดุลแล้ว อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสมควรจะอยู่ที่ราว 4.1% ซึ่งไม่ได้ห่างจากระดับปัจจุบันมากนัก
โดยความเสี่ยงที่น่ากลัวที่สุดสำหรับ Fed ในเวลานี้ คือ การลดดอกเบี้ยอาจให้ผลลัพธ์ตรงกันข้ามกับที่ตั้งใจไว้โดยสิ้นเชิง บทเรียนสำคัญเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2024 เมื่อ Fed ประกาศลดดอกเบี้ยจาก 5.50% เหลือ 4.50% แทนที่ต้นทุนการกู้ยืมจะถูกลง ตลาดกลับตอบสนองในทิศทางตรงกันข้าม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ดีดตัวพุ่งขึ้นจาก 3.65% ไปแตะ 4.76% ในช่วงต้นเดือนมกราคม เหตุผลก็เพราะนักลงทุนมองว่าการตัดสินใจของ Fed นั้น “เร็วเกินไป” และจะยิ่งทำให้เงินเฟ้อที่ยังคงสูงอยู่ไม่ลดลงง่ายๆ ผลที่ตามมาคือ อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้าน 30 ปีพุ่งขึ้นจาก 6.13% ไปอยู่ที่ราว 7% กลายเป็นการซ้ำเติมผู้บริโภคแทนที่จะเป็นการช่วยเหลือ
สุดท้าย Fed อาจลดดอกเบี้ยตามที่ Trump ต้องการ แต่ไม่ใช่ด้วยเหตุผลที่ดี
ตลอดเวลาที่ผ่านมา Fed อยู่ภายใต้แรงกดดันทางการเมืองอย่างหนักจากทำเนียบขาว โดย ปธน.Trump ได้วิจารณ์ Jerome Powell ประธาน Fed อย่างรุนแรง โดย Trump ให้เหตุผลว่า Fed ควรลดดอกเบี้ยเพราะเงินเฟ้อถูกควบคุมไว้ได้แล้ว ซึ่งข้อเท็จจริงอาจสวนทางกับคำกล่าวอ้างนั้น
แต่สุดท้ายในไม่ช้า Trump อาจจะได้สมใจปรารถนาในเรื่องการลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม มันจะเกิดขึ้นด้วยเหตุผลในทางตรงกันข้ามกับที่เขาต้องการ มันไม่ใช่การลดดอกเบี้ยเพื่อฉลองชัยชนะเหนือเงินเฟ้อท่ามกลางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง แต่อาจเป็นการลดดอกเบี้ยเพื่อ “กู้ชีพ” เศรษฐกิจที่กำลังเริ่มน่ากังวลและเสี่ยงต่อภาวะถดถอย และนั่นคือเหตุผลที่การลดดอกเบี้ยของ Fed ที่ตลาดรอคอย…. บางที….ก็อาจจะไม่ใช่ข่าวดีอย่างที่หลายคนคิด
ที่มา: Bloomberg