
สัปดาห์นี้นับว่าเป็นการเข้าสู่ช่วงกลางของฤดูกาลรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2025 ของบริษัทในสหรัฐฯ ซึ่งภาพรวมยังคงออกมาค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่หลายบริษัทที่ส่วนใหญ่รายงานผลการดำเนินงานออกมาดีกว่าคาด ท่ามกลางการเจรจาการค้าที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูงและยังไม่มีทีท่าว่าจะบรรลุข้อตกลงได้โดยง่าย
Microsoft มียอดรายได้รวมอยู่ที่ 70.1 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 13% YoY เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าคาดการณ์ที่ 68.5 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่กำไรต่อหุ้น (EPS) ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ 3.46 ดอลลาร์ สูงกว่าคาดการณ์ที่ 3.21 ดอลลาร์ หน่วยธุรกิจ Azure เติบโตโดดเด่น โดยมีรายได้เพิ่มขึ้น 33% YoY ซึ่งการเติบโตส่วนใหญ่หนุนมาจากบริการ AI
ในไตรมาสนี้ Microsoft ได้รับแรงหนุนจากการใช้งาน AI และผลิตภัณฑ์ Copilot ที่ช่วยเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้ นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับดีลใหญ่จาก OpenAI ในการใช้บริการคลาวด์ Azure ขณะที่ค่าใช้จ่ายลงทุน (Capex) รวมอยู่ที่ 21.4 พันล้านดอลลาร์ ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเป็นการชะลอตัวครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี แต่ยังยืนยันว่าจะกลับมาเร่งลงทุนอีกครั้งในปีงบประมาณใหม่ โดยเฉพาะเพื่อรองรับความต้องการด้าน AI ที่ยังสูงกว่ากำลังผลิตของศูนย์ข้อมูล
CFO Amy Hood ระบุว่า Azure จะเติบโตสูงสุดถึง 35% ในไตรมาสหน้า (เมื่อปรับด้วยอัตราแลกเปลี่ยน) สะท้อนความเชื่อมั่นในแนวโน้มความต้องการใช้งาน AI อย่างต่อเนื่อง พร้อมระบุว่า Microsoft ยังต้องเพิ่มกำลังการผลิตของศูนย์ข้อมูลอีกมากกว่าที่คาดไว้เดิม ด้านทีม IR เสริมว่าการผลักดันให้ลูกค้าอัปเกรดไปสู่แพ็กเกจที่มีฟีเจอร์ AI เป็นกุญแจสำคัญในการเพิ่มรายได้ระยะยาว
Meta รายงานรายได้ไตรมาส 1 ที่ 42.3 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 41.4 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่กำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ 6.43 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นถึง 37% YoY และสูงกว่าคาดการณ์ที่ 5.25 ดอลลาร์ ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นทันทีหลังรายงานงบ โดยได้รับแรงหนุนหลักจากธุรกิจโฆษณาที่คิดเป็น 98% ของรายได้รวม
ในไตรมาสนี้ Meta ยกระดับประมาณการงบลงทุน (Capex) สำหรับปีนี้เป็น 64–72 พันล้านดอลลาร์ จากเดิม 60–65 พันล้านดอลลาร์ เพื่อรองรับการขยายโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI แม้ต้นทุนฮาร์ดแวร์จะเพิ่มขึ้นจากภาษีนำเข้าที่เกิดจากสงครามการค้า บริษัทยังเปิดตัวแอป AI ใหม่ “Meta AI” แบบ standalone เพื่อแข่งขันกับ ChatGPT โดยไม่ต้องพึ่ง Facebook หรือ Instagram ทั้งนี้ โมเดล AI “Llama” ของ Meta มียอดดาวน์โหลดกว่า 1.2 พันล้านครั้งทั่วโลก
Mark Zuckerberg มั่นใจว่า Meta พร้อมรับมือความไม่แน่นอนจากภาวะเศรษฐกิจและสงครามการค้า โดยเน้นปรับโซ่อุปทานให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ด้าน CFO Susan Li เสริมว่าต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สูงขึ้น มาจากความไม่แน่นอนของแหล่งซัพพลายทั่วโลก ส่วนด้านกลยุทธ์ AI นั้นชัดเจนว่า Meta ตั้งใจลงทุนต่อเนื่องเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันกับผู้นำรายอื่นอย่าง Google และ OpenAI โดยยังคงใช้รายได้จากโฆษณาเป็นแหล่งทุนหลัก
Apple รายงานรายได้รวมในไตรมาส 2 ที่ 95.4 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าคาดเล็กน้อย (94.6 พันล้านดอลลาร์) โดยมีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 1.65 ดอลลาร์ ดีกว่าคาดการณ์ที่ 1.62 ดอลลาร์ ยอดขาย iPhone อยู่ที่ 46.8 พันล้านดอลลาร์ แม้จะเติบโตเพียง 2% YoY แต่ก็สูงกว่าคาดเล็กน้อย ด้านธุรกิจบริการ เช่น App Store และ Apple TV+ เติบโต 12% YoY สู่ระดับ 26.7 พันล้านดอลลาร์ ตามที่คาดไว้ โดย Apple ได้ประกาศเพิ่มวงเงินซื้อหุ้นคืนอีก 100 พันล้านดอลลาร์ และเพิ่มเงินปันผลรายไตรมาสขึ้น 4% เป็น 0.26 ดอลลาร์ต่อหุ้น
ในไตรมาสนี้ นักลงทุนผิดหวังจากยอดขายในจีนที่หดตัว 2.3% YoY สู่ 16 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าคาด และการเปิดเผยว่าจะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นราว 900 ล้านดอลลาร์จากภาษีการค้า ขณะที่ iPhone 16e ที่เปิดตัวใหม่ยังถูกมองว่าขาดจุดต่างจากรุ่นก่อน ทำให้ราคาหุ้นร่วงสูงสุด 4.2% หลังการรายงานงบ
CEO Tim Cook ยืนยันว่า Apple จะบริหารจัดการอย่างรอบคอบในระยะยาว แม้เผชิญความท้าทายจากความไม่แน่นอนด้านการค้าและความล่าช้าในแผน AI โดยยังไม่สามารถเปิดใช้บริการ AI ในจีนได้ทันเวลา อย่างไรก็ดี Apple เตรียมเปิดตัวฟีเจอร์ AI ใหม่ในจีนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า โดยร่วมมือกับ Alibaba และ Baidu ขณะเดียวกัน Cook ยังกล่าวว่า Apple จะเร่งกระจายฐานการผลิต โดย iPhone ที่ขายในสหรัฐฯ กว่าครึ่งจะผลิตจากอินเดีย และสินค้าหลักอื่นๆ จะย้ายไปผลิตในเวียดนามเพื่อลดผลกระทบจากภาษีจีน
Amazon รายงานยอดขายไตรมาส 1 ปี 2025 ที่ 155.7 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 9% YoY และสูงกว่าคาดการณ์ที่ 155.2 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 18.4 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าคาดการณ์ 17.5 พันล้านดอลลาร์ ธุรกิจคลาวด์ AWS เติบโต 17% YoY สู่ 29.3 พันล้านดอลลาร์ สอดคล้องกับคาดการณ์ แต่นับเป็นอัตราเติบโตที่ช้าที่สุดในรอบปี
ในไตรมาสนี้ Amazon ให้ guidance ว่ากำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสถัดไปจะอยู่ในช่วง 13–17.5 พันล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าคาดการณ์เฉลี่ยของนักวิเคราะห์ที่ 17.8 พันล้านดอลลาร์ โดยระบุว่าความเสี่ยงจาก “นโยบายภาษีและการค้า” รวมถึงความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยและความผันผวนของค่าเงิน อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ยอดขายจากผู้ขายภายนอก (third-party) เติบโตเพียง 6% YoY ส่วนรายได้จากโฆษณาเติบโต 18% YoY ซึ่งเริ่มชะลอจากไตรมาสก่อน
CEO Andy Jassy ยอมรับว่าแม้ยังไม่เห็นสัญญาณการลดลงของอุปสงค์โดยตรง แต่ยอดสั่งซื้อสินค้าบางประเภทที่เร่งขึ้น อาจสะท้อนความกังวลของผู้บริโภคต่อผลกระทบจากภาษีที่กำลังจะมา ด้าน CFO Brian Olsavsky เสริมว่าบริษัทเตรียมรับมือต่อหลายสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น โดยพยายามคงราคาที่เข้าถึงได้สำหรับลูกค้า ขณะที่ยังรักษาโครงสร้างต้นทุนให้เหมาะสม
ในไตรมาสนี้ต้องยอมรับว่าบริษัทในสหรัฐฯ เริ่มได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าไปบ้างแล้ว แต่ผลการดำเนินงานที่ออกมาโดยรวมก็ยังคงสะท้อนความแข็งแกร่ง โดยล่าสุดบริษัทใน S&P500 รายงานการผลการดำเนินงานออกมาแล้วกว่า 348 บริษัท มีกำไรต่อหุ้นเติบโต 14.5% YoY มากกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดไว้ที่ 10.1% YoY และอีกข้อสังเกตคือบริษัท Tech ใหญ่ยังคงเติบโตได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ AI รวมถึงมีการคาดการณ์เม็ดเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สะท้อนมุมมองเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมในระยะข้างหน้า โดยเราคาดหวังว่าบริษัทที่กำลังทยอยรายงานผลการดำเนินงานออกมาหลังจากนี้จะยังคงเป็นส่วนช่วยหนุนให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นกลับมาคึกคักได้อย่างต่อเนื่อง
ที่มา: Bloomberg, Company Data