
ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Government Shutdown” หรือการที่หน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐฯต้องปิดทำการชั่วคราว เนื่องจากสภาคองเกรสไม่สามารถผ่านกฎหมายงบประมาณได้ทันเวลาได้เกิดขึ้นอีกครั้งแล้วในตอนนี้ โดยปรากฎการณ์ดังกล่าวนี้ ได้สร้างคำถามสำคัญว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินและการลงทุนมากน้อยแค่ไหน? หลายคนอาจมองว่านี่คือสัญญาณร้ายที่อาจฉุดตลาดหุ้นให้ดิ่งลงเหว แต่เมื่อเราลองเปิดหน้าประวัติศาสตร์และดูสถิติในอดีต เราอาจพบกับความจริงที่น่าประหลาดใจว่า “พายุการเมือง” ลูกนี้ อาจไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดเสมอไป
อย่างไรก็ตาม ในความเหมือนก็ย่อมมีความต่าง เนื่องจากในอดีตการเกิด Shutdown ในแต่ละครั้งต่างมีบริบทที่แตกต่างกันไป และการเกิด Shutdown ในครั้งนี้ก็มีปัจจัยเฉพาะตัวที่อาจทำให้ไม่ซ้ำรอยเดิมเหมือนในประวัติศาสตร์ได้เช่นกัน
ย้อนรอยอดีต: เมื่อ ‘Shutdown’ ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
หากมองย้อนกลับไปตั้งแต่ปี ค.ศ. 1976 สหรัฐฯ เคยเผชิญกับภาวะ Government Shutdown มาแล้วถึง 20 ครั้ง โดยส่วนใหญ่มักเป็นเหตุการณ์ระยะสั้นที่มีระยะเวลาเฉลี่ยเพียง 8 วันเท่านั้น แม้ครั้งที่ยาวนานที่สุดที่เกิดขึ้นในปี 2018 ในช่วงที่ประธานาธิบดี Trump ดำรงตำแหน่งสมัยแรก ซึ่งกินเวลานานถึง 35 วัน แต่ผลลัพธ์ต่อตลาดหุ้นกลับสวนทางกับความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ โดยข้อมูลที่น่าสนใจคือ ในช่วงเวลาที่ Shutdown ผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 มีแนวโน้มเอนเอียงไปในแดนบวกเล็กน้อย
และเมื่อพิจารณาในภาพรวม จะพบว่าผลตอบแทนติดลบในช่วง Government Shutdown ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ขณะที่การปรับตัวลงที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมาอยู่ที่เพียง 2.2% เท่านั้น ซึ่งข้อมูลประวัติศาสตร์เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าเหตุการณ์ ตลาดหุ้นอาจไม่ได้รับผลกระทบมากนักในช่วง Shutdown อย่างที่หลายคนกังวล แถมตลาดหุ้นยังมีโอกาสที่ดีที่จะปรับตัวสูงแทนด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามแน่นอนว่าผลการดำเนินงานในอดีตไม่ใช่เครื่องการันตีผลลัพธ์ในอนาคต…..
กรณีศึกษาที่น่าสนใจ: ตลาดหุ้นเมินเฉยต่อดราม่าการเมือง
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นเราสามารถศึกษาจาก 2 กรณีที่เกิดขึ้นในอดีตที่สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นในช่วงวิกฤตการเมือง:
Shutdown ปี 2013 (วิกฤตงบประมาณ Obamacare)
ระยะเวลา: 16 วัน (1 – 17 ตุลาคม 2013)
สาเหตุ: ความขัดแย้งรุนแรงในสภาคองเกรสเรื่องการจัดสรรงบประมาณให้กับกฎหมายประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ “Affordable Care Act” (Obamacare)
ผลกระทบต่อตลาด: แม้สถานการณ์ทางการเมืองจะตึงเครียดและเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก แต่ตลาดหุ้นกลับ “เมินเฉย” ต่อดราม่าดังกล่าว โดยดัชนี S&P 500 ไม่เพียงแต่ไม่ร่วงลง แต่ยังสามารถปรับตัวสูงขึ้นถึง 3.1% ตลอดช่วงเวลา 16 วันนั้น แสดงให้เห็นว่านักลงทุนมองว่าเหตุการณ์นี้เป็นเพียงเกมการเมืองระยะสั้นที่ไม่ได้กระทบต่อพื้นฐานเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนแต่อย่างใด
Shutdown ปี 2018-2019 (ครั้งที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์)
ระยะเวลา: 35 วัน (ธันวาคม 2018 – มกราคม 2019)
สาเหตุ: ความขัดแย้งเรื่องงบประมาณสร้างกำแพงชายแดนเม็กซิโก
ผลกระทบต่อตลาด: ครั้งนี้ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าทึ่งที่สุด เพราะแม้จะเป็นการ Shutdown ที่ยาวนานที่สุดถึง 35 วัน แต่ตลาดหุ้นกลับสร้างปรากฏการณ์ที่น่าประหลาดใจ โดยในช่วงเวลา Shutdown ดัชนี S&P 500 ทะยานขึ้นอย่างร้อนแรงถึง 10% เนื่องจากนักลงทุนมองข้ามความวุ่นวายทางการเมืองและมุ่งความสนใจไปที่ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ยังคงแข็งแกร่งแทน
แต่ครั้งนี้…อาจไม่เหมือนเดิม: ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา
แม้ประวัติศาสตร์จะบอกเราว่าอย่าตื่นตระหนก แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเตือนว่าการ Shutdown ครั้งนี้มี “ตัวแปรสำคัญ” ที่ต่างออกไป และอาจทำให้ผลลัพธ์ไม่เหมือนในอดีต ซึ่งตัวแปรที่กล่าวถึง คือ “นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)”
โดยตลอดทั้งปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างรอคอยอย่างใจจดใจจ่อให้ Fed เริ่มวงจร “การลดอัตราดอกเบี้ย” ซึ่งแม้ Fed จะลดดอกเบี้ยมาแล้วหนึ่งครั้ง แต่นักลงทุนก็ยังคงคาดหวังให้ Fed ลดดอกเบี้ยต่อเนื่องอีกในการประชุม 2 ครั้งสุดท้ายของปี ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการลดดอกเบี้ยถือเป็นปัจจัยบวกอย่างยิ่งต่อตลาดหุ้น เพราะจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินของภาคธุรกิจและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
แต่ปัญหาก็คือ การตัดสินใจของ Fed ขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งจัดทำและเผยแพร่โดยหน่วยงานรัฐบาล และนี่คือจุดที่การเกิด Government Shutdown ในครั้งนี้อาจมีความแตกต่างจากในอดีต เนื่องจากการ Shutdown ครั้งนี้อาจทำให้การเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญต่างๆ ต้องล่าช้าออกไปอย่างไม่มีกำหนด เช่น รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร : ตัวเลขที่แสดงถึงความแข็งแกร่งของตลาดแรงงาน , ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI): ตัวเลขที่ใช้วัดอัตราเงินเฟ้อ เป็นต้น
เมื่อไม่มีข้อมูลเหล่านี้ Fed ก็เปรียบเสมือน “นักบินที่ต้องขับเครื่องบินฝ่าเมฆหมอกหนาทึบ” ซึ่งจะไม่สามารถประเมินภาพรวมของเศรษฐกิจได้อย่างชัดเจน และอาจต้องชะลอการตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยออกไปก่อน นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้นักวิเคราะห์บางส่วนมองว่าผลกระทบจากการ Shutdown ครั้งนี้อาจรุนแรงขึ้นอย่างมากหากมันยืดเยื้อ และขัดขวางความสามารถในการตัดสินใจของ Fed
ด้วยเหตุนี้ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ยจึงกลายเป็นความเสี่ยงที่แท้จริงของการ Shutdown ครั้งนี้ เพราะส่งผลโดยตรงต่อความคาดหวังของตลาด ซึ่งหากนักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจว่าจะมีการลดดอกเบี้ยตามที่คาดการณ์ไว้ ก็อาจนำไปสู่แรงเทขายในตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ ได้
บทสรุปสำหรับนักลงทุน: ควรทำอย่างไรในภาวะ Shutdown?
เมื่อพิจารณาข้อมูลทั้งหมด เราสามารถสรุปภาพรวมของสถานการณ์ Government Shutdown ได้เป็น 2 มุมมองที่แตกต่างกัน
ในมุมมองของประวัติศาสตร์ : นักลงทุนไม่ควรตื่นตระหนกจนเกินไป เพราะ Shutdown มักเป็นเพียง “ละครการเมือง” ระยะสั้น ที่ส่งผลกระทบต่อตลาดในวงจำกัดและชั่วคราว ซึ่งตลาดหุ้นมีความสามารถในการฟื้นตัวและปรับตัวได้ดี
ในมุมมองของสถานการณ์ปัจจุบัน : มีความเสี่ยงใหม่ที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะผลกระทบต่อการตัดสินใจของ Fed และ “ระยะเวลา” ของการ Shutdown ว่าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่ เนื่องจากหากยุติได้เร็ว (ภายใน 1-2 สัปดาห์) ผลกระทบก็น่าจะอยู่ในวงจำกัด แต่หากยืดเยื้อเกิน 3 สัปดาห์ ความเสี่ยงที่ข้อมูลเศรษฐกิจจะล่าช้าและความไม่แน่นอน ต่อนโยบายดอกเบี้ยก็จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และอาจนำไปสู่ความผันผวนในตลาดได้
คำแนะนำสำหรับนักลงทุน
มองภาพใหญ่และลงทุนระยะยาว : อย่าตัดสินใจซื้อขายอย่างหุนหันพลันแล่นตามหัวข่าวรายวัน เพราะการ Shutdown ไม่ได้เปลี่ยนแปลงปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่ลงทุน
จับตาระยะเวลา มากกว่าดราม่า : ติดตามความคืบหน้าในการเจรจา ยิ่งยืดเยื้อ ความเสี่ยงยิ่งเพิ่ม
สังเกตปฏิทินเศรษฐกิจ : ติดตามการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญๆ ต่างๆ เช่น ตัวเลขการจ้างงานและเงินเฟ้อ หากเริ่มมีการเลื่อนเกิดขึ้น นั่นคือสัญญาณเตือนแรกว่าความไม่แน่นอนกำลังเริ่มก่อตัว
กระจายความเสี่ยง : ในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนและผันผวน การกระจายลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท (Asset Allocation) ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการบริหารความเสี่ยง
โดยสรุป แม้ Government Shutdown จะสร้างบรรยากาศที่ไม่น่าอภิรมย์และพาดหัวข่าวที่ชวนให้กังวล แต่ประวัติศาสตร์ได้สอนเราว่า มันไม่ใช่จุดจบของโลกการลงทุนเสมอไป สิ่งสำคัญสำหรับนักลงทุนคือการทำความเข้าใจทั้งบทเรียนจากอดีตและปัจจัยเสี่ยงใหม่ในปัจจุบัน เพื่อให้สามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีสติและไม่ตกเป็นเหยื่อของความกลัวที่เกินจริง
ที่มา: Bloomberg