
วาระของ Jerome Powell ในฐานะประธาน Fed ซึ่งเริ่มต้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2018 กำลังเดินทางเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของตำแหน่งในอีกไม่ช้า โดย Jerome Powell ดำรงตำแหน่งประธาน Fed มายาวนานกว่า 6 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เศรษฐกิจโลกเผชิญความผันผวนมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสงครามการค้า, ความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ, การระบาดของ Covid-19, ภาวะเงินเฟ้อสูงสุดในรอบ 40 ปี ไปจนถึงวงจรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ยุคของ Paul Volcker ในช่วงทศวรรษ 1980
Jerome Powell ได้รับการจดจำในฐานะผู้บริหารวิกฤต ทั้งการขยายงบดุล Fed อย่างมหาศาลเพื่อรักษาเสถียรภาพในระบบทางการเงินในช่วง Covid-19 และต่อมาได้เป็นผู้นำของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อควบคุมสภาวะเงินเฟ้อ
ด้วยวาระของ Jerome Powell ซึ่งจะสิ้นสุดในช่วงต้นปี 2026 ตลาดจึงเริ่มจับตามองว่าใครจะได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งต่อจาก Jerome Powell โดยการเปลี่ยนผ่านในครั้งนี้มีความหมายมากกว่าแค่การเปลี่ยนตัวบุคคล เพราะบริบททางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้าต้องการผู้นำที่สามารถรับมือกับความท้าทายเชิงโครงสร้างทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง รวมถึงภาระหนี้สาธารณะ แทนที่จะเป็นเพียงการบริหารจัดการวิกฤตแบบเดิม
หนึ่งในรายชื่อที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในขณะนี้คือ Kevin Hassett นักเศรษฐศาสตร์เชิงอนุรักษนิยมที่เคยดำรงตำแหน่งประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจของสหรัฐฯ (Council of Economic Advisers) ระหว่างปี 2017–2019 ภายใต้รัฐบาลของ Donald Trump โดยชื่อของเขาได้กลับมามีบทบาทอีกครั้ง และกำลังเป็นบุคคลที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดในฐานะ ตัวเต็งอันดับหนึ่งสำหรับตำแหน่งประธาน Fed
ในบทความนี้ เราจะพาไปทำความรู้จักกับ Kevin Hassett ว่าที่ประธาน Fed คนถัดไปต่อจาก Jerome Powell โดยเราจะเล่าถึงชีวประวัติและประสบการณ์การทำงาน รวมถึงมุมมองทางเศรษฐศาสตร์ เพื่อให้เห็นภาพชัดว่าทำไมเขาถึงเป็นบุคคลสำคัญที่ถูกพูดถึงในวงกว้างในช่วงเวลานี้
Kevin Hassett ปัจจุบันอายุ 63 ปี จบปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จาก University of Pennsylvania โดยเส้นทางอาชีพของเขาเริ่มในสายเศรษฐศาสตร์การคลัง Kevin Hassett เคยเป็นที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจให้แก่กระทรวงการคลังสหรัฐฯ (Policy Consultant to the US Department of the Treasury) ซึ่งครอบคลุมทั้งในสมัยรัฐบาลของ George H.W. Bush และ Bill Clinton
หลังจากนั้น Kevin Hassett ได้ดำรงตำแหน่งนักวิชาการและผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยนโยบายเศรษฐกิจอยู่ที่สถาบัน American Enterprise Institute (AEI) เป็นเวลานานกว่า 20 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ปี 1997 ซึ่งทำให้เขามีบทบาทสำคัญในการผลักดันแนวคิดเศรษฐกิจแบบตลาดเสรีและการลดข้อจำกัดต่อภาคธุรกิจ
หนึ่งในผลงานที่สร้างชื่อให้ Kevin Hassett คือการร่วมเขียนหนังสือ Dow 36,000: The New Strategy for Profiting from the Coming Rise in the Stock Market ซึ่งตีพิมพ์ในเดือนกันยายน ปี 1999 โดยแก่นแท้ของหนังสือ คือการสะท้อนความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าต่อประสิทธิภาพของตลาดเสรี โดย Kevin Hassett และผู้เขียนร่วมให้เหตุผลว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในขณะนั้นมีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริงอย่างมาก และคาดการณ์ว่าดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (DJIA) จะพุ่งไปถึงระดับ 36,000 จุด ภายในเวลาเพียง 3-5 ปีข้างหน้า (ประมาณปี 2002-2004) พวกเขาให้เหตุผลว่า นักลงทุนประเมินความเสี่ยงของการถือครองหุ้นสูงเกินไป เมื่อเทียบกับการลงทุนในพันธบัตร ทั้งที่ในความเป็นจริงความเสี่ยงระยะยาวอาจไม่ได้แตกต่างกันมากนัก พวกเขาเชื่อว่าเมื่อนักลงทุนตระหนักถึงข้อเท็จจริงนี้และปรับความเข้าใจใหม่ ตลาดก็จะปรับมูลค่าที่แท้จริง ส่งผลให้ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในที่สุด
อย่างไรก็ดี หนังสือเล่มนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในเวลาต่อมา หลังจากที่หนังสือถูกตีพิมพ์ไปไม่กี่เดือน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดิ่งลงอย่างหนัก เนื่องจากตลาดหุ้นได้เข้าสู่ช่วงฟองสบู่ดอทคอมแตก (Dot-com bubble) และตามมาด้วยวิกฤตการเงินโลกในปี 2008 ซึ่งการคาดการณ์ตัวเลขของดัชนี Dow Jones คาดเคลื่อนและใช้เวลานานกว่า 22 ปี โดยดัชนีเพิ่งสามารถทะลุระดับ 36,000 จุดได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในช่วงปลายปี 2021
แม้การคาดการณ์ตัวเลขในหนังสือจะผิดพลาดในเรื่องของกรอบเวลาที่ตลาดจะไปถึงจุดนั้น แต่หนังสือเล่มนี้ได้ตอกย้ำถึงแนวคิดหลักทางเศรษฐศาสตร์ของ Kevin Hassett เชื่อว่า กุญแจสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนควรมาจาก ประสิทธิภาพในการผลิตและความกระตือรือร้นของภาคธุรกิจเป็นหลัก มากกว่าการที่รัฐบาลต้องคอยมาช่วยพยุงด้วยการอัดฉีดเงินหรือเข้าแทรกแซง
นอกจากนี้ Kevin Hassett ยังเคยดำรงตำแหน่งประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจในทำเนียบขาว (Council of Economic Advisers-CEA) ระหว่างปี 2017-2019 โดยมีบทบาทสำคัญในการออกแบบนโยบายเศรษฐกิจของในช่วงที่ Donald Trump เป็นประธานาธิบดีในสมัยแรก โดยเฉพาะการลดภาษีนิติบุคคลครั้งใหญ่จาก 35% เหลือ 21% และการลดกฎระเบียบภาคธุรกิจ ซึ่ง Kevin Hassett เปรียบเหมือนเป็นมันสมองของ “Trumponomics” โดยแนวคิดของ Kevin Hassett มีความเชื่อว่า การออกแบบระบบภาษีและกฎระเบียบที่ดี จะช่วยสร้างการลงทุนในภาคเอกชนอย่างยั่งยืน ซึ่งไม่ใช่แค่การกระตุ้นการบริโภคระยะสั้นเพียงอย่างเดียว
โดยในปี 2025 Kevin Hassett ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ (Director of the National Economic Council- NEC) ในทำเนียบขาวของประธานาธิบดี Donald Trump ซึ่งมีหน้าที่ประสานงานนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศและระหว่างประเทศของรัฐบาล
สาเหตุหลักที่ Kevin Hassett ได้กลายเป็นตัวเต็งอันดับหนึ่งสำหรับตำแหน่งประธาน Fed ในปี 2026 มาจากความสอดคล้องกับแนวคิดของประธานาธิบดี Donald Trump ที่สนับสนุนการลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และความไว้วางใจส่วนตัวเนื่องจากทำงานร่วมกันมานาน ซึ่งอาจเป็นคนที่สื่อสารกับความต้องการของประธานาธิบดี Donald Trump ให้เป็นนโยบายเศรษฐศาสตร์ที่เข้าใจได้
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ที่ Kevin Hasset ได้เป็นกระแสการเป็นประธาน Fed เขาได้ออกมาแสดงจุดยืนต่อเศรษฐกิจและการดำเนินนโยบายการเงินสหรัฐฯ ว่า Fed ไม่ควรแทรกแซงหรือคอยพยุงตลาดมากเกินไป ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเดิมของเขามาโดยตลอด ซึ่งเป็นมุมมองที่ขัดแย้งอย่างชัดเจนกับแนวทางการบริหารของ Jerome Powell ประธาน Fed คนปัจจุบันที่มักจะสร้างเสถียรภาพของตลาดในภาวะวิกฤต
Kevin Hassett เชื่อว่า การแทรกแซงของ Fed ที่มาเกินไปจะบิดเบือนราคาสินทรัพย์และลดแรงจูงใจในการลงทุนระยะยาวของภาคเอกขน ซึ่งแนวคิดนี้ดูเหมือนจะสอดคล้องกับสถานปัจจุบัน ที่เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่การปรับสมดุลครั้งใหญ่ เนื่องจากตลาดกำลังเผชิญการเปลี่ยนผ่านจากการดำเนินนโยบายที่เน้นการผ่อนคลายทางการเงิน ไปสู่จุดที่กลไกตลาดต้องทำงานอย่างอิสระ เพื่อช่วยให้ภาคธุรกิจต้องเพิ่มประสิทธิภาพและปรับตัวตามความเป็นจริง
หากเขาได้รับตำแหน่งประธาน Fed ในปี 2026 จริง ก็คาดการณ์ได้ว่าทิศทางนโยบายจะเปลี่ยนไปสู่การเน้นสร้างการเติบโตผ่านการลดกฎเกณฑ์และภาษีเป็นหลัก โดยปล่อยให้ตลาดทำงานด้วยกลไกของตัวเองมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ตลาดยังไม่มีการยืนยันว่า หาก Kevin Hassett ได้รับตำแหน่งประธาน Fed เขาจะกำหนดแนวทางที่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากกรอบการดำเนินนโยบายที่ Fed ยึดถืออยู่ในปัจจุบันหรือไม่ เนื่องจากในทางปฏิบัติ ประธาน Fed จะต้องทำงานร่วมกับคณะกรรมการ FOMC ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกที่มีมุมมองหลากหลาย และการเปลี่ยนแปลงทิศทางนโยบายครั้งใหญ่อาจไม่ใช่เรื่องง่ายในทันที
จะเห็นได้ว่า สิ่งที่ทำให้ Kevin Hassett ถูกพูดถึงมากที่สุดในตอนนี้ ไม่ใช่เพราะอิทธิพลทางการเงินที่เขามีเหมือน Jerome Powell แต่เป็นเพราะการคาดการณ์ว่า โครงสร้างเศรษฐกิจในระยะถัดไปอาจต้องการผู้นำที่เข้าใจบทบาทของภาคเอกชนและประสิทธิภาพในการผลิต (Productivity) ในระยะยาว ซึ่งเป็นไปตามกรอบความคิดด้านเศรษฐศาสตร์ของเขายึดถือมาโดยตลอด
แน่นอนว่า กระบวนการแต่งตั้งประธาน Fed ยังไม่ใช่เรื่องตายตัว โดยผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อยังต้องเผชิญกับการพิจารณาอย่างเข้มข้นจากวุฒิสภา และต้องพิสูจน์ความเป็นอิสระจากฝ่ายการเมือง โดยเฉพาะในกรณีของ Kevin Hassett ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดของ Donald Trump มาก่อน
ซึ่งเชื่อว่าความใกล้ชิดกับประธานาธิบดี Donald Trump นี่เองจะถูกจับตามองมากเป็นพิเศษ หาก Kevin Hassett ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธาน Fed จริง โดยเฉพาะหาก Hassett ผลักดันการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ Trump ออกมาเรียกร้องโดยตลอด และสุดท้ายต้องไม่ลืมว่าในอดีต Trump มักมีความขัดแย้งกับบุคลากรที่ตัวเองเป็นคนแต่งตั้งมาเอง อาทิ Jerome Powell ประธาน Fed คนปัจจุบัน หรือ Elon Musk ในบทบาทผู้นำหน่วยงาน DOGE
ดังนั้นจากแนวคิดการทำงานที่ผ่านมาในอดีตนักลงทุนก็ยังสามารถมองโลกในแง่ดีได้ว่า Hassett จะทำงานอย่างอิสระโดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกดดันของ Trump และบางทีความเป็นอิสระของ Fed นั่นเองที่ตลาดอาจจะต้องการมากกว่าประธาน Fed ที่ผลักดันการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วแต่เพียงอย่างเดียว
ที่มา: Bloomberg, Reuters, Britannica