
ในทุกช่วงเวลาที่การเมืองไทยกลับมาเป็นประเด็นร้อนแรง ความกังวลของนักลงทุนก็มักจะพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า การเปลี่ยนขั้วอำนาจ หรือความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมือง ล้วนเป็นปัจจัยที่ดูเหมือนจะสร้างแรงกดดันต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดทุนไทย
แต่หากพิจารณาอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะจากข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์และปัจจัยเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้อง จะพบว่า “การเมืองไทยไม่ได้เป็นตัวถ่วงตลาดหุ้นเสมอไป” ตรงกันข้าม บางครั้งความไม่แน่นอนทางการเมืองกลับเปิดโอกาสใหม่ให้ตลาดได้รับแรงหนุนจากนโยบายหรือบรรยากาศการเลือกตั้งที่เอื้อต่อการลงทุน รวมถึงหากมองภาพรวม ณ ปัจจุบัน นโยบายการเงินของทั้งสหรัฐฯและไทยที่กำลังจะผ่อนคลายมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นช่วงปลายปีที่มักจะมีเม็ดเงินจากกองทุนลดหย่อนภาษีเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นไทย สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เกิดขึ้น ณ ตอนนี้ก็อาจไม่ได้เป็นปัจจัยกดดันหุ้นไทยอย่างที่หลายคนคิด
ในบทความนี้ เราจะพูดถึง 3 เหตุผลสำคัญที่สะท้อนว่าการเมืองไทยอาจไม่ใช่ปัจจัยกดดันตลาดหุ้นอย่างที่นักลงทุนกังวล และยังอาจเปิดโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจในช่วงครึ่งหลังของปีนี้และต่อเนื่องไปถึงปีหน้า
ความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นตัว
หากย้อนดูข้อมูลในอดีต จะพบว่าตลาดหุ้นไทยไม่ได้ตอบสนองในทางลบต่อความไม่แน่นอนทางการเมืองเสมอไป โดยความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย ช่วงก่อนและหลังยุบสภาตอบสนองแตกต่างกันทั้งบวกและลบ แต่หลังจากยุบสภาไปจนถึงมีการเลือกตั้งใหม่จะพบว่าตลาดให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นบวก และปรับเพิ่มขึ้นถึง 7 จาก 11 ครั้ง ซึ่งถือเป็นสถิติที่น่าสนใจและสะท้อนว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจไม่ใช่ตัวถ่วงตลาดในระยะยาว

และในสถานการณ์ปัจจุบัน มีความเป็นไปที่จะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งถึงแม้มีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลใหม่อาจจะอยู่ไม่นานนักก็จะเกิดการยุบสภา แต่อย่างน้อยก็น่าจะมีนโยบายที่สร้างความหวังให้กับนักลงทุน รวมถึงหลังจากนี้หากเกิดการยุบสภาจริงก็จะยิ่งทำให้นักลงทุนมีความหวังใหม่จากการเลือกตั้งครั้งถัดไป และจะเป็นช่วงเวลาที่พรรคการเมืองต่างๆ จะนำเสนอนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเรียกคะแนนเสียง โดยนโยบายเหล่านี้มักส่งผลบวกต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ดอกเบี้ยขาลงทั้งในสหรัฐฯและไทยเป็นแรงหนุนตลาดหุ้น
ทิศทางของดอกเบี้ยถือเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยในระยะข้างหน้า โดยทั้งธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยต่างกำลังอยู่ในวัฏจักรการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ
จากสถิติในอดีตพบว่า ในรอบการลดดอกเบี้ยของ Fed ที่ไม่ได้เกิดจากภาวะเศรษฐกิจถดถอย เช่นในปี 1995, 1998, 1999 และ 2019 ตลาดหุ้นไทยสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้โดดเด่นทั้งในช่วง 3 เดือนและ 6 เดือนหลังการลดดอกเบี้ย สะท้อนให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยตอบรับเชิงบวกต่อสภาพแวดล้อมดอกเบี้ยต่ำ

แม้การลดดอกเบี้ยในปี 2024 ไม่ได้สร้างแรงหนุนให้กับตลาดในทันที เนื่องจากตลาดเผชิญกับปัจจัยลบรอบด้านพร้อมกัน แต่หากมองไปข้างหน้า การลดดอกเบี้ยรอบใหม่ในปี 2025 มีแนวโน้มที่จะสร้างบรรยากาศเชิงบวกมากกว่าในอดีตหากสถานการณ์การเมืองมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้หากประเทศไทยมีการลดอัตราดอกเบี้ยจริง บทวิเคราะห์จาก TISCO Research ได้ประเมินว่าการลดดอกเบี้ยของ กนง. จะช่วยเพิ่ม Upside ให้กับตลาดหุ้นไทยราว 30–35 จุด
กองทุน ThaiESGX เสริมความเชื่อมั่นและดึงดูด Flow ใหม่
ข้อมูลจาก Morningstar ระบุว่าในปี 2024 กองทุน ThaiESG ทั้ง 3 ประเภท มีเม็ดเงินไหลเข้าที่ 27,053 ล้านบาท โดยกองทุนที่มีนโยบายผสมทั้งหุ้นและตราสารหนี้มีเม็ดเงินไหลเข้าราว 3,379 ล้านบาท และนโยบายหุ้นล้วนอยู่ที่ราว 7,697 ล้านบาท
ส่วนในปีนี้ช่วงเดือนมกราคมถึงสิงหาคม 2025 กองทุน ThaiESG มีเงินลงทุนสุทธิรวม 7,151 ล้านบาท โดยเม็ดเงินที่ไหลเข้ากองทุนที่มีนโยบายหุ้นล้วนอยู่ที่ 1,041 ล้านบาท ซึ่งอย่างน้อยหากเม็ดเงินที่ไหลเข้าในกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นในปีนี้ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว ก็เท่ากับว่าในช่วงที่เหลือของปีจะมีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติมอีกราว 6,000 ล้านบาท นอกจากนี้ กองทุน ThaiESGX ซึ่งเป็นกองทุนลดหย่อนภาษีใหม่ซึ่งเปิดให้นักลงทุนเข้าลงทุนได้ในช่วงกลางปีที่ผ่านมายังสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี ทำให้อาจเป็นแรงจูงใจให้กับนักลงทุนลงตัดสินใจลงทุนในกองทุน ThaiESG ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งแรงหนุนให้กับตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปี

แม้ตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญกับความผันผวนจากหลายปัจจัย แต่เมื่อพิจารณาจากทั้งสามเหตุผลข้างต้น จะเห็นว่าสถานการณความไม่แน่นอนของการเมืองไทยที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้อาจจะไม่ใช่ปัจจัยที่นักลงทุนจะต้องกังวลมากจนเกินไป
ที่มา: TISCO Research, TISCO ESU, Bloomberg