
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา หุ้นเทคโนโลยีทั่วโลกมีการพักฐานระยะสั้น รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนในประเด็นการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ และการเปิดตัว DeepSeek โมเดล AI สัญชาติจีนที่ใช้ต้นทุนในการพัฒนาที่ต่ำ แต่มีประสิทธิภาพการทำงานสูงเทียบเท่ากับโมเดล AI ที่ดีที่สุดของสหรัฐฯ ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับบริษัทคู่แข่งด้าน AI จากสหรัฐฯ โดยเฉพาะบริษัทต้นน้ำของอุตสาหกรรม AI อย่างบริษัท Semiconductor เช่น Nvidia
โดยเหตุการณ์ในครั้งนี้เริ่มทำให้นักลงทุนสงสัยว่าการพัฒนาโมเดล AI หลังจากนี้ จำเป็นต้องเงินลงทุนหรือใช้ชิปขั้นสูงจำนวนมากอีกหรือไม่ รวมทั้งเริ่มมีความกังวลว่าการลงทุนด้าน AI ของบริษัทต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาจะเป็นฟองสบู่ AI หรือไม่ ซึ่งในบทความนี้เราจะมาพูดถึง 3 เหตุผลที่จะระบุว่าหุ้น AI ยังไม่เกิดฟองสบู่ขึ้น
การมาของ DeepSeek ช่วยทำให้พัฒนาการของอุตสาหกรรม AI มีความก้าวหน้ามากขึ้น
การมาของ DeepSeek ในช่วงแรกได้สร้างความกังวลให้กับหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐ ฯ เป็นอย่างมากโดยวันจันทร์ที่ 27 ม.ค. 2025 ดัชนี Nasdaq ปรับตัวลดลงถึง -2.97% และ โดยราคาหุ้น Nvidia ปรับลดลงถึง -16.97% จากความกังวลต่อประเด็นที่บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่อาจใช้เงินลงทุนในการพัฒนา AI มากเกินไปและอาจนำไปสู่การเกิดฟองสบู่ AI
อย่างไรก็ดีประเด็นดังกล่าวเริ่มผ่อนคลายลงและราคาหุ้นบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่สามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ หลังตลาดรับรู้ว่าการมาของ DeepSeek ก็มีข้อดีหลายด้านที่ช่วยทำให้พัฒนาการของอุตสาหกรรม AI มีความก้าวหน้ามากขึ้น และทำให้ระดับ Valuation ของหุ้น AI หลายตัวกลับมาอยู่ในระดับที่น่าสนใจมากขึ้น โดยข้อดีที่เกิดขึ้นจากการมาของ DeepSeek ได้แก่
- ธุรกิจกลางน้ำของอุตสาหกรรม AI (บริษัทผู้พัฒนาโปรแกรมหรือโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI) : สามารถนำจุดเด่นของ DeepSeek มาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของในโมเดล AI ของตนเองได้ โดยล่าสุดบริษัท OpenAI ก็ได้มีการเปิดตัวโมเดล AI ความคล้ายคลึง DeepSeek อย่าง Deep research ออกมา นอกจาการเพิ่มประสิทธิภาพแล้ว บริษัทผู้พัฒนา AI ยังสามารถลอกเลียนรูปแบบการพัฒนา AI ที่ใช้ต้นทุนที่ต่ำแบบของ DeepSeek ได้ ซึ่งจะช่วยให้เกิดโมเดล AI ใหม่ๆ ได้ง่ายและมากขึ้นในระยะเวลาอันรวดเร็ว
- ธุรกิจปลายน้ำของอุตสาหกรรม AI (บริษัทที่นำ AI ไปใช้งาน) : ด้วยโมเดล AI ใหม่ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้จะทำให้บริษัทผู้ใช้งาน AI มีตัวเลือก AI ที่นำมาใช้งานเพิ่มมากขึ้น และด้วยแนวทางการพัฒนา AI ด้วยต้นทุนที่ต่ำก็อาจส่งผลให้ต้นทุนการซื้อ AI ของผู้ใช้งาน ลดลงตามไปด้วย ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผลการดำเนินงานของบริษัทกลุ่มดังกล่าว
- ธุรกิจต้นน้ำของอุตสาหกรรม AI (บริษัท Semiconductor) : ถึงแม้ว่าตลาดจะมีความกังวลว่าการเปิดตัวโมเดล AI ที่มีต้นทุนการพัฒนาที่ต่ำ จะมีความเสี่ยงต่อยอดคำสั่งซื้อชิปของบริษัทเทคฯ หลังจากนี้ และอาจทำให้ยอดขายชิปเติบโตต่ำกว่าคาด อย่างไรก็ดีเรามองว่าประเด็นดังกล่าวเป็นเพียงความเสี่ยงในระยะสั้นหรืออาจไม่เกิดขึ้นก็ได้ ถ้าหากการพัฒนา AI มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ AI มีการนำมาใช้งานอย่างแพร่หลายมากขึ้น เนื่องจากชิปเป็นส่วนสำคัญต่อการฝึกสอนและใช้งาน AI ทำให้เมื่อผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับ AI เพิ่มมากขึ้น ความต้องการชิปก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
สุดท้ายนี้ถึงแม้ประสิทธิภาพการทำงานของ DeepSeek จะเป็นที่การยอมรับระดับหนึ่งแล้ว แต่ประเด็นต้นทุนการพัฒนาที่ต่ำของ DeepSeek ยังเป็นประเด็นที่สงสัยอยู่ และขณะนี้ DeepSeek ก็กำลังถูกตรวจสอบในเรื่องการใช้เทคโนโลยีสหรัฐฯ อยู่ทำให้มีความเสี่ยงที่อาจไม่ได้ไปต่อ อย่างไรก็ดีแนวทางการพัฒนา AI ด้วยต้นทุนที่ต่ำของ DeepSeek ยังคงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับบริษัทเทคฯ ขนาดกลางและเล็กที่ไม่มีต้นทุนมาก ใช้ในการพิจารณาพัฒนาโมเดล AI ของตนเองขึ้นมาได้
AI ยังหนุนการเติบโตของบริษัทเทคฯ ใหญ่ และยังเป็นเป้าหมายการลงทุนของบริษัทเหล่านี้
ล่าสุดบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่สหรัฐฯ หลายแห่งได้มีการรายงานผลการดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 ออกมายังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยบริษัทส่วนใหญ่ได้มีการพูดถึงประเด็นที่ AI ช่วยหนุนการเติบโตของยอดขายของผลิตภัณฑ์หรือบริการของบริษัทเหล่านี้ อาทิ
- Meta Platform รายงานยอดผู้ใช้งานและรายได้โฆษณามากขึ้นหลังนำ AI มาช่วยในการเลือกบทความหรือวิดีโอที่เหมาะกับลูกค้าแต่ละคน ในแต่ละช่วงเวลา
- Microsoft รายงานรายได้ธุรกิจ Cloud โตโดดเด่น หนุนจากประสิทธิภาพการบริการที่ดีขึ้นหลังเพิ่มประสิทธิภาพของระบบด้วย AI
- Palantir รายงานงบโตแข็งแกร่ง หนุนจากรายได้บริการเสริมความปลอดภัยด้าน Cyber ด้วยระบบ AI ที่ได้รับการยอมรับจากทั้งภาครัฐและบริษัทเอกชนต่างๆ เป็นต้น
ซึ่งตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า AI สามารถช่วยหนุนให้รายได้ของบริษัทเทคฯ เติบโตต่อได้ และด้วยเหตุนี้ บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่หลายแห่งจึงยังคงให้มุมมองที่ดีต่อการเติบโตของ AI และได้มีการเน้นยำถึงการนำ AI มาผนวกเข้ากับผลิตภัณฑ์ของบริษัทเพิ่มส่งเสริมการเติบโตของผลประกอบการของบริษัทในระยะข้างหน้า เช่น
- Apple มีแผนที่จะเปิดตัว “Apple Intelligence AI” ซึ่งคาดว่าจะหนุนยอดขายผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ และรายได้ส่วนบริการ
- Meta Platform ยังตั้งเป้าเดินหน้าลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับ AI อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของ Llama AI หรือการยกระดับ AI เพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้นและกระตุ้นการใช้งาน Facebook กับ Instagram
- Microsoft ย้ำว่ากลยุทธ์ AI-first จะเป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทต่อไป
- Alphabet มีแผนที่จะลงทุนด้าน AI เพิ่ม $75 billion เพื่อใช้ในการขยายฐาน Datacenter และ Server ที่ใช้รองรับต่อความต้องการ AI ที่เพิ่มมากขึ้น
การสนับสนุน AI ถือเป็นหนึ่งนโยบายสำคัญของ Donald Trump
อีกหนึ่งประเด็นที่ Donald Trump ได้มีการพูดตอกย้ำและให้ความสนใจในช่วงที่ผ่านมา คือเรื่องแนวทางการสนับสนุนการพัฒนา AI ในสหรัฐฯ โดยนับตั้งแต่ Trump ดำรงตำแหน่ง ปธน. สหรัฐฯ อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2025 Trump ก็ได้มีการดำเนินการหลายด้านเพื่อส่งเสริมแนวทางการพัฒนา AI ในสหรัฐฯ รวมถึงการผลักดันให้สหรัฐฯ ยังคงเป็นผู้นำการพัฒนา AI ซึ่งเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยของโลก โดยรายละเอียดแนวทางที่ Trump ได้ดำเนินการหรือมีแผนที่จะดำเนินหลังจากนี้มีดังนี้
- ยกเลิกนโยบายควบคุมการพัฒนา AI ที่เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลของ Biden เพื่อสนับสนุนให้บริษัทด้าน AI ในสหรัฐฯ สามารถพัฒนา AI ได้อย่างเสรีมากขึ้น
- อนุมัติโครงการ Stargate ซึ่งมีมูลค่าเงินลงทุนเบื้องต้นสูงถึง $100 billion โดยโครงการนี้จะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ในสหรัฐฯ ผ่านความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำต่างๆ เพื่อรองรับการพัฒนา AI ในอนาคต
- มีแผนที่จะนำ AI มาใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือสร้างความมั่นคงให้แก่ชาติ และแผนเพิ่มงบประมาณและจัดตั้งศูนย์วิจัยแห่งชาติด้าน AI เพื่อส่งเสริมการพัฒนา AI ในสหรัฐฯ เป็นต้น
โดยประเด็นเหล่านี้แสดงให้เห็นการให้ความสำคัญต่อการสนับสนุน AI ของ Trump และยังเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนมองว่าในช่วงสมัยที่ Trump ดำรงตำแหน่งอยู่ในช่วง 4 ปี จะมีการออกนโยบายสนับสนุน AI ออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้าสู่อุตสาหกรรม AI มากขึ้น ทั้งในมุมการพัฒนาธุรกิจ AI และตลาดการเงินที่เกี่ยวข้องกับ AI
จากปัจจัยหนุนทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าหุ้น AI ยังคงมีแนวโน้มเติบโตอีกมากจากการสนับสนุนของภาครัฐ และการเข้าลงทุนของบริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่ ที่เห็นแล้วว่าเทคโนโลยี AI สามารถช่วยส่งเสริมให้รายได้ของบริษัทเติบโตต่อได้อย่างแข็งแกร่ง ขณะเดียวกันการมาของ DeepSeek ก็ไม่ได้เป็นประเด็นที่น่ากังวลขนาดนั้น เนื่องจากทำให้เกิดผลดีต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม AI ในหลายด้าน มากกว่าผลเสียที่จะเกิดขึ้น ประกอบกับอุตสาหกรรม AI ยังคงอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการพัฒนาและการนำไปใช้ ทำให้ยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ด้วยเหตุนี้ ธีมการลงทุนใน AI ยังคงเป็นหนึ่งในหัวข้อหลักที่น่าจับตามองในปีนี้ และเป็นแนวทางที่นักลงทุนควรให้ความสนใจต่อไป
ที่มา: CNBC , Bloomberg , Financial Times