
การประชุมสองสภาประจำปี 2025 หรือ “Two Sessions” ซึ่งเป็นหนึ่งในเวทีการเมืองสำคัญของจีน ได้เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา โดยการประชุมนี้ได้รับความสนใจจากทั่วโลก โดยเฉพาะในหมู่นักลงทุนและภาคธุรกิจ เนื่องจากถือเป็นช่วงเวลาที่จีนจะมีการกล่าวถึงเป้าหมายทางเศรษฐกิจ และทิศทางนโยบายสำคัญต่างๆ ที่รัฐบาลจีนจะดำเนินในปีนี้ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจจีนและมีผลต่อมุมมองการลงทุนในหุ้นจีนของนักลงทุนทั่วโลก
โดยในบทความนี้ เราจะสรุป ประเด็นสำคัญของการประชุมสองสภาในปี 2025 พร้อมวิเคราะห์ว่าทิศทางนโยบายเหล่านี้จะส่งผลต่อเศรษฐกิจจีนและการลงทุนทั่วโลกอย่างไรบ้าง
เป้าหมายทางเศรษฐกิจ : จีนยังตั้งเป้า GDP โตที่ราว 5% ดังเดิม
ในช่วงต้นของการประชุมสองสภา นายก Li Qiang ได้ขึ้นกล่าวสรุปผลการทำงานของรัฐบาลจีนในปีที่ผ่านมา และได้มีการพูดถึงเป้าหมายทางเศรษฐกิจต่างๆ ในปี 2025 ดังนี้

นโยบายการคลัง : มีแผนเพิ่มการใช้จ่ายทางการคลัง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่นายก Li Qiang ได้พูดในการประชุมครั้งนี้ คือ แผนเพิ่มการใช้จ่ายทางการคลัง เพื่อกระตุ้นการบริโภคและพยุงเศรษฐกิจที่ยังคงเปราะบาง โดยมีแผนที่จะการออกพันธบัตรเพิ่มเติมเบื้องต้น ดังนี้
- พันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่นพิเศษ 4.4 ล้านล้านหยวน สำหรับโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของมณฑลต่างๆ
- พันธบัตรรัฐบาลพิเศษระยะยาว 1.3 ล้านล้านหยวน แม้จะน้อยกว่าปี 2024 แต่ยังคงเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว
- พันธบัตรพิเศษสำหรับธนาคารขนาดใหญ่ 500,000 ล้านหยวน เพื่อเสริมสภาพคล่องในระบบการเงิน
- พันธบัตรพิเศษ 300,000 ล้านหยวน เพื่อสนับสนุนโครงการเปลี่ยนสินค้าเก่ามาแลกใหม่ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าและรถยนต์ใหม่
นอกจากแผนเบื้องต้นแล้ว ทางรัฐบาลจีนยังได้มีการเพิ่มโควตาการออกพันธบัตรรวมในปีนี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 11.86 ล้านล้านหยวน ซึ่งหากหักกับมูลแผนการออกพันธบัตรที่ได้กล่าวมาข้างต้นที่ 6.5 ล้านล้านหยวน จะทำให้รัฐบาลจีนยังสามารถออกพันธบัตรได้อีกราว 5.4 ล้านล้านหยวน ซึ่งคาดว่าจะถูกนำมาใช้เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าและการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ – เร่งผลักดันเทคโนโลยี High Tech ขึ้นมาแทนที่ภาคอสังหาฯ
นอกจากประเด็นข้างต้นแล้ว การปรับโครงสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจจีน ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่มีการพูดถึงอย่างมากในการประชุมครั้งนี้ โดยรัฐบาลจีนมีแผนที่จะผลักดันอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง (High Tech) อาทิ AI และเทคโนโลยี 6G ขึ้นมาเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาวแทนที่ภาคอสังหาฯ ที่ยังคงอยู่ในภาวะซบเซา
นายก Li Qiang ได้มีการประกาศแผนเร่งพัฒนาเทคโนโลยีด้าน AI ซึ่งเป็นหัวใจ้สำคัญของการยกระดับขีดความสามารถทางเศรษฐกิจ และตั้งเป้าที่จะผลักดันให้มีการนำ AI มาใช้งานอย่างแพร่หลายในทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็น ภาคการผลิต การเกษตร และการบริโภค เป็นต้น นอกจากนี้เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว นายก Li Qiang ยังได้วางแผนออกมาตรการกระตุ้นที่เกี่ยวข้องหลายด้าน ได้แก่
- เพิ่มงบประมาณการลงทุนในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขึ้น 10% เพื่อสนับสนุนงานวิจัยและการพัฒนาด้าน AI, เทคโนโลยี 6G และนวัตกรรมใหม่ๆ อื่นๆ
- ออกมาตรการสนับสนุนเงินกู้สำหรับบริษัทเทคโนโลยี โดยเพิ่มวงเงินกู้ยืมเพื่อการควบรวมและซื้อกิจการ (M&A) ของบริษัทเทคโนโลยี จากเดิม 60% เป็น 80% ของมูลค่าการทำธุรกรรมควบรวมกิจการทั้งหมด
แม้ว่าจะให้ความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยี High Tech มากขึ้น แต่ก็รัฐบาลจีนก็ยังคงเดินหน้ามาตรการพยุงภาคอสังหาริมทรัพย์ควบคู่กันไป เนื่องจากอุตสาหกรรมนี้ยังมีบทบาทสำคัญต่อการจ้างงานและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยภาครัฐมีแผนที่จะดำเนินโครงการปรับปรุงที่อยู่อาศัยในเมือง ซ่อมแซมอาคารเก่า และรับซื้อบ้านที่ขายไม่ออก เพื่อป้องกันไม่ให้ราคาทรัพย์สินลดลงอย่างรวดเร็ว และรักษาเสถียรภาพของตลาดอสังหาฯ
นโยบายต่างประเทศ – แสดงจุดยืนที่จะลดการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ
ด้านนโยบายต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นประเด็นที่กำลังร้อนแรงในปัจจุบัน จากการที่ทั้งสหรัฐฯ และจีนพึ่งได้มีการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าของแต่ละประเทศ ไม่กี่วันก่อนเริ่มการประชุม ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ทางรัฐบาลจีนก็ได้มีการพูดถึงประเด็นดังกล่าว และยอมรับว่าความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการเติบโตที่พึ่งพาการส่งออกอย่างจีน ด้วยเหตุนี้ทางการจีนจึงจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ไปสู่การเสริมสร้างการบริโภคภายในประเทศมากขึ้นเพื่อลดการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ
โดยในเบื้องต้นจีนมีแผนสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศมากขึ้น ลดการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และเปิดรับนักลงทุนต่างชาติในอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์มากขึ้น นอกจากนี้ ยังเตรียมปรับปรุงนโยบายร้านค้าปลอดภาษี (Duty-Free Store) เพื่อส่งเสริมการบริโภคในประเทศ
โดยภาพรวมผลการประชุมสองสภาในครั้งนี้ ออกมาค่อนข้างเป็นไปในทิศทางเชิงบวก โดยเฉพาะประเด็นการเพิ่มการใช้จ่ายการคลังที่มากขึ้นและการให้ความสำคัญกับการพัฒนาเทคโนโลยี High Tech ซึ่งถือเป็น 2 ประเด็นสำคัญที่ทำให้นักลงทุนมองว่ารัฐบาลจีนกำลังกลับมากระตุ้นการบริโภคและจับมือกับภาคเอกชนอย่างเต็มที่อีกครั้ง รวมทั้งลดการพึ่งพาต่างประเทศซึ่งเป็นประเด็นที่น่ากังวลอยู่ในตอนนี้ ทั้งนี้การประชุมสองสภาจะยังคงดำเนินต่อจนถึงวันที่ 11 มี.ค. ทำให้ในระหว่างนี้อาจมีรายละเอียดการประชุมออกมาเพิ่มเติมจึงยังคงต้องติดตามการประชุมนี้กันต่อ
นับตั้งแต่ต้นปี ตลาดหุ้นจีนมีการปรับตัวขึ้นได้อย่างโดดเด่นนำโดยหุ้นกลุ่มเทคฯ จีนที่ได้รับอานิสงค์จากการเปิดตัว Deep Seek และการประชุมร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนในช่วงที่ผ่านมา โดยหลังจากนี้ประเด็นที่จะทำให้ตลาดหุ้นจีนไปต่อได้ นั่นก็คือความคาดหวังต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ซึ่งได้มีการพูดถึงอย่างมากในการประชุมสองสภาครั้งนี้ อย่างไรก็ดีการที่ตลาดหุ้นจีนจะปรับตัวขึ้นได้อย่างแข็งแกร่งต่อนั้น อาจต้องติดตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมาว่าจะมีประสิทธิภาพดังที่คาดหวังไว้หรือไม่ ซึ่งถ้าหากเศรษฐกิจจีนสามารถฟื้นตัวขึ้นได้จริงก็มีโอกาสที่ตลาดหุ้นจะสามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อในช่วงเวลาที่เหลือของปี
Source : CNBC, SCMP, Bloomberg