ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ฯ ในครั้งนี้จะเกิดขึ้น ผลโพลจากเกือบทุกสำนักระบุตรงกันว่าคะแนนของ 2 ผู้ท้าชิงคือ Kamala Harris จากพรรค Democrat และ Donald Trump จากพรรค Republican มีคะแนนสูสีกันอย่างมาก แต่เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาจริง กลับกลายเป็นว่าอดีตประธานาธิบดี Donald Trump สามารถคว้าชัยชนะไปได้อย่างถล่มทลาย โดยเฉพาะในรัฐสำคัญที่ถือเป็นการชี้วัดผลการเลือกตั้ง (Swing State)
โดยจากการนับคะแนนล่าสุด Donald Trump มีคะแนนเสียง Electoral Vote 295 เสียง ในขณะที่ Kamala Harris มีคะแนน 226 เสียง และนอกจากตำแหน่งประธานาธิบดีจะตกเป็นของพรรค Republican แล้ว พรรค Republican ยังสามารถยึดครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาโดยมีคะแนนโหวตชนะพรรค Democrat 53 ต่อ 45 เสียง และยังสามารถรักษาเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรด้วยคะแนนเสียงล่าสุดที่นับไปแล้ว 210 ต่อ 198 เสียง (ข้อมูลจาก Bloomberg)
ซึ่งหลังจากนี้ Donald Trump จะกลายเป็นประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐฯ และจะถือว่าเป็นประธานาธิบดีที่ได้ดำรงตำแหน่ง 2 สมัยแบบไม่ต่อเนื่องกันเป็นคนที่สองในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ และตามข้อกำหนดรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ การสาบานตนเข้ารับตำแหน่งจะเกิดขึ้นในวันที่ 20 ม.ค. ปี 2025
จะเกิดอะไรขึ้นหากทรัมป์ดำรงตำแหน่งปธน. สหรัฐฯ
การที่ Trump ชนะการโหวตในครั้งนี้ประกอบกับการที่ พรรค Republican จะครองทั้งสภาบน และ สภาล่าง จะเป็นโอกาสที่จะทำให้ Trump สามารถดำเนินนโยบายที่เคยประกาศไว้ในช่วงหาเสียงได้ง่ายขึ้น ซึ่งนโยบายสำคัญที่น่าจะส่งผลกระทบต่อโลกของการลงทุนคือ
- Tax – นโยบาย Tax Cuts and Jobs Act (TCJA) หรือนโยบายการลดอัตราภาษีบุคคลธรรมาดาที่มีมาตั้งแต่สมัย Trump ดำรงปธน.สมัยแรกในปี 2017 ซึ่งกำลังจะหมดอายุในปี 2025 ในการหาเสียงในครั้งนี้ Trump ได้ประกาศว่าตั้งใจที่จะต่ออายุนโยบายต่อไป นอกจากนี้ยังประกาศที่จะปรับลดลดภาษีนิติบุคคลจากเดิม 21% ลงมาอยู่ที่ระดับ 15% อีกด้วย ซึ่งจะเป็นผลดีต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ
- Tariff – อีกนโยบายสำคัญ คือ การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภท 10% และปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศจีน 60% ซึ่งประเด็นนี้อาจทำให้ตลาดหุ้นเกิดความผันผวนได้ โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนที่นักลงทุนกังวลว่าอาจได้รับผลกระทบอย่างมาก แต่ต้องไม่ลืมว่าทางการจีนถือว่ามีเวลาเตรียมรับมือการมาของ Trump มาระยะนึงแล้ว และเป็นไปได้ว่าจีนจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติมเพื่อชดเชยผลกระทบที่มาจากการขึ้นภาษีของ Trump
- Geopolitical – ความเกี่ยวข้องกับประเด็นด้านความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ไม่เพียงเกิดแค่กับสหรัฐฯ กับจีนเท่านั้น แต่ยังโยงเกี่ยวกับประเทศที่สหรัฐฯ ให้ความช่วยเหลือด้วย โดยขัดแย้งระหว่างยูเครน – รัสเซีย มีโอกาสจะยุติลง โดย Trump กล่าวว่าจะหยุดให้เงินสนับสนุนกับยูเครน และจะพยายามยุติสงตรามผ่านการเจรจากับรัสเซีย ในขณะเดียวกันความขัดแย้งในตะวันออกกลางอาจจะไม่ต่างจากเดิม เนื่องจาก Trump น่าจะสนับสนุนทางการทหารต่ออิสราเอล รวมถึงมีความเป็นไปได้ที่จะออกมาตรการคว่ำบาตรอิหร่านเพิ่มเติม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันได้ในอนาคต
- Financial Deregulation – ในสมัยที่ Trump ดำรงตำแหน่งปธน. ก่อนหน้านี้ ได้มีการยกเลิกกฎหมายบางส่วนของกฎหมาย Dodd- Frank Act โดยในการดำรงตำแหน่งครั้งนี้ Trump จะยังคงดำเนินการในทิศทางเดียวกับครั้งก่อนหน้า ซึ่งถ้าหาก พรรค Republican สามารถครองเสียงข้างมากได้จากทั้งสภาผู้แทนราษฎรและในวุฒิสภา จะส่งผลให้การลดกฎระเบียบในสถาบันการเงินเป็นไปได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกให้กับหุ้นในกลุ่มสถาบันการเงิน
โดยหลังจาก Trump ชนะเลือกตั้งตลาดหุ้นสหรัฐ ฯ ปรับเพิ่มขึ้นไปทำ All time high ได้ทั้ง 3 ดัชนี โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากชัยชนะของ Trump อาทิ กลุ่มการเงิน กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency และ หุ้น Tesla ที่ Elon Musk CEO ของบริษัทเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญของ Trump ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง
อย่างไรก็ดีในภาพระยะยาวแน่นอนว่าการมาของ Trump คงไม่ได้ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐ ฯ เป็นขาขึ้นแต่เพียงอย่างเดียว ซึ่งนักลงทุนต้องไม่ลืมว่าตามสไตล์บริหารของ Trump คือการปรับเปลี่ยนท่าทีและนโยบายต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา และนั่นก็หมายความว่าตลอด 4 ปีข้างหน้าในช่วงที่ Trump เข้าดำรงตำแหน่ง ถึงแม้ดูเหมือนจะมีหุ้นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายของ Trump ชัดเจน แต่ก็ต้องไม่ลืมว่าการมาของ Trump ก็จะทำให้เกิดความผันผวนขึ้นมาก ๆ ในตลาดหุ้นเช่นเดียวกัน
ที่มา: CNBC , Bloomberg , Company Website