
หลังคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค Liberal Democratic Party (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของญี่ปุ่น Sanae Takaichi กำลังจะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศ
Takaichi นักการเมืองสายอนุรักษนิยมขั้วแข็งและพันธมิตรใกล้ชิดของอดีตนายกฯ Shinzo Abe ผู้ล่วงลับ ได้กล่าวว่าเธอจะ “ทำงาน ทำงาน และทำงาน” เพื่อเปลี่ยน “ความวิตกกังวลของผู้คนเกี่ยวกับชีวิตประจำวันและอนาคตให้กลายเป็นความหวัง” โดยการขึ้นสู่อำนาจของเธอเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจในประเทศกำลังตึงเครียดและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก็ตึงเครียดไม่แพ้กัน และยังเป็นบททดสอบว่าญี่ปุ่นจะเดินหน้าซ้ำรอยวาระอนุรักษนิยมและนโยบาย Abenomics ที่เคยเป็นตัวกำหนดทิศทางของประเทศมาตลอดทศวรรษที่ผ่านมาหรือไม่
ชัยชนะของ Takaichi เกิดขึ้นหลังจากนายกรัฐมนตรี Shigeru Ishiba ลาออกจากตำแหน่ง เนื่องจากพรรค LDP สูญเสียเสียงข้างมากในรัฐสภาทั้งสองสภาในการเลือกตั้งปี 2024 และ 2025 ทำให้ต้องกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย นั่นหมายความว่า เมื่อรัฐสภา (Diet) เปิดประชุมในวันที่ 15 ตุลาคม ในทางทฤษฎีแล้ว พรรคฝ่ายค้านสามารถขัดขวางการรับรอง Takaichi ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ แม้ว่านักวิเคราะห์จะมองว่าความเสี่ยงที่จะเกิดเหตุการณ์นั้นมีน้อยก็ตาม
ภารกิจแรกของ Takaichi คือการได้รับการสนับสนุนจากพรรคฝ่ายค้านอย่างน้อยหนึ่งพรรคเพื่อจัดตั้งรัฐบาลที่มีเสียงข้างมากที่สามารถทำงานได้จริง อย่างไรก็ตาม พรรคฝ่ายค้านกำลังเผชิญกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก การเข้าร่วมรัฐบาลผสมกับ LDP อาจช่วยเพิ่มอิทธิพลของตนเอง แต่ก็เสี่ยงที่จะทำให้ผู้ลงคะแนนเสียงที่ไม่พอใจพรรครัฐบาลตีตัวออกห่าง
ซึ่งหาก Takaichi สามารถบรรลุข้อตกลงกับฝ่ายค้านได้ รัฐบาลของเธอก็จะยังต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ซึ่งรวมถึงวิกฤตค่าครองชีพ, การจัดการความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงและการค้ากับประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ตลอดจนการรับมือกับความกังวลในประเทศเกี่ยวกับจำนวนชาวต่างชาติที่พำนักหรือเดินทางมาเยือนญี่ปุ่นที่เพิ่มสูงขึ้น
Abenomics 2.0?
Takaichi ถูกมองว่าเป็นผู้สนับสนุน “Abenomics” ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจของ Shinzo Abe ที่เน้นนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย, การใช้จ่ายภาครัฐ และการปฏิรูปโครงสร้าง โดยก่อนหน้านี้เธอเคยวิพากษ์วิจารณ์แผนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (Bank of Japan) ซึ่งผู้ว่าการ BOJ นาย Kazuo Ueda เพิ่งกล่าวย้ำเมื่อวันศุกร์ว่า ธนาคารกลางจะกำหนดอัตราดอกเบี้ย “โดยปราศจากอคติใดๆ” ทั้งนี้ BOJ ได้ยุติการใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบไปเมื่อเดือนมีนาคม 2024 และคงอัตราดอกเบี้ยล่าสุดไว้ที่ 0.5% นักวิเคราะห์มองว่านโยบายของ Takaichi จะไม่ทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลง เพราะมีโอกาสสูงที่เธอจะเดินหน้าซ้ำรอยนโยบาย Abenomics ในอดีต นั่นหมายถึงเงินเยนที่อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว การใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนนำไปสู่เงินเฟ้อที่สูงขึ้น
ส่งตลาดหุ้น All time high
หลังชัยชนะของ Takaichi ดัชนี Nikkei 225 ของญี่ปุ่นปรับเพิ่มขึ้นทำ All time high ทะลุระดับ 48,500 จุด (ณ วันที่ 9 ตุลาคม 2025) เนื่องจากคาดว่านโยบายของเธอจะส่งผลให้ตลาดหุ้นของประเทศได้รับการสนับสนุน ในขณะที่ค่าเงินเยนและพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวจะเผชิญกับแรงกดดัน โดยคาดการณ์ว่าเส้นอัตราผลตอบแทน (yield curve) จะมีความชันเพิ่มขึ้น การขึ้นสู่ตำแหน่งของ Takaichi ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนนโยบายการคลังและการเงินแบบผ่อนคลาย มีแนวโน้มที่จะสร้างความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของอุปทานพันธบัตร ในขณะเดียวกันก็ลดความคาดหวังเกี่ยวกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (Bank of Japan – BOJ) ในปลายเดือนนี้
และชัยชนะของ Takaichi “มีแนวโน้มที่จะส่งผลลบต่อเงินเยน เนื่องจากมีการปรับมุมมองต่อ การขึ้นดอกเบี้ยของ BOJ ประกอบกับเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGB curve) ที่ชันขึ้นจากมุมมองด้านการคลังที่ผ่อนคลายของเธอ แต่ทั้งสองปัจจัยนี้เมื่อรวมกันแล้วน่าจะช่วยหนุนดัชนี Nikkei ส่วนหุ้นที่อาจเผชิญแรงกดดันคือกลุ่มธนาคารที่มีแนวโน้มที่จะได้รับแรงกดดัจากความคาดหวังว่าการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะถูกเลื่อนออกไป ในขณะที่หุ้นที่เกี่ยวข้องกับอุปสงค์ในประเทศและหุ้นขนาดเล็กอาจได้รับ “แรงหนุนที่สำคัญ” ในระยะสั้น และนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศต่างยินดีอย่างมากกับการที่ญี่ปุ่นจะกลับไปสู่นโยบาย Abenomics ซึ่งเป็นนโยบายเศรษฐกิจของอดีตนายกรัฐมนตรี Shinzo Abe ผู้ล่วงลับ
นโยบายต่างประเทศที่ต้องจับตา
นักวิเคราะห์การเมืองในญี่ปุ่นมองว่าเหตุผลที่พรรค LDP เลือก Takaichi เพราะพวกเขารู้สึกว่าเธอเป็นคนที่เหมาะสมที่สุดในการรับมือกับประธานาธิบดี Donald Trump “เธอน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเผชิญหน้ากับ Trump ในช่วงเวลาที่ตึงเครียดอย่างยิ่งระหว่างเขากับทั่วโลก”
มีรายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า Takaichi ได้แสดงความกังขาเกี่ยวกับข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น และกล่าวในการให้สัมภาษณ์ผ่านรายการทีวีว่าการ “ทบทวนใหม่” ข้อตกลงดังกล่าวยังคงมีความเป็นไปได้ โดยอ้างถึงคำมั่นสัญญาการลงทุนของญี่ปุ่นมูลค่า 550,000 ล้านดอลลาร์ที่เธอต้องการศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม
นอกจากนี้ท่าทีกับประเทศอื่น ๆ ของเธอนอกเหนือจากสหรัฐฯ ยังเป็นที่น่าจับตาอย่างยิ่ง โดย Takaichi เรียกร้องให้มีท่าทีที่แข็งกร้าวต่อจีน และยังสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญสันติภาพของญี่ปุ่น โดยเฉพาะมาตรา 9 ซึ่งบัญญัติให้ญี่ปุ่นสละสิทธิ์ในการทำสงคราม
อดีตรัฐมนตรีด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจผู้นี้ยังถูกมองว่ามีท่าทีเป็นมิตรต่อไต้หวัน ซึ่งอาจสร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาลจีน โดยประธานาธิบดีไต้หวัน Lai Ching-te ได้โพสต์ข้อความเป็นภาษาญี่ปุ่นบน X เมื่อวันเสาร์ โดยเรียก Takaichi ว่าเป็น “มิตรแท้ที่แน่วแน่ของไต้หวัน” และแสดงความหวังว่าทั้งสองฝ่าย “จะสามารถยกระดับความสัมพันธ์ไต้หวัน-ญี่ปุ่นขึ้นไปอีกระดับได้”
และการที่เธอเคยเดินทางไปเยือนศาลเจ้ายาสุกุนิ ซึ่งเป็นสถานที่รำลึกถึงผู้เสียชีวิตในสงครามของญี่ปุ่น รวมถึงอาชญากรสงคราม ได้สร้างความไม่พอใจให้กับจีนและเกาหลีใต้ ซึ่งมองว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์ของการรุกรานในอดีต ซึ่งนักวิเคราะห์ด้านการเมืองมองว่านี่อาจจะต้อง “ระมัดระวังอย่างยิ่งยวด” ในการสื่อสารมุมมองของเธอ โดยเฉพาะด้านนโยบายต่างประเทศ
“มุมมองของเธอที่มีต่อจีนและเกาหลีเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว แต่เธอก็เข้าใจดีว่าต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีกับทุกประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสหรัฐอเมริกา เพราะทุกประเทศล้วนส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อจุดหมายปลายทางการส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น” และหากTakaichi ไม่ได้ละทิ้งมุมมองชาตินิยมที่แข็งแกร่งของเธอ “นี่คือสิ่งที่เราต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไป“
ที่มา: Bloomberg , CNBC