
ในสัปดาห์นี้ ประเด็นภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ กลับมาเป็นประเด็นที่นักลงทุนทั่วโลกให้ความสนใจอีกครั้ง หลังจากที่ ปธน. Donald Trump ได้ประกาศรายละเอียดภาษีรอบใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้กับ 23 ประเทศ พร้อมเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมอีกหลายกรณี
แม้มาตรการภาษีรอบใหม่จะแสดงถึงท่าทีที่แข็งกร้าวขึ้น แต่ปฏิกิริยาของนักลงทุนกลับค่อนข้างสงบนิ่งและไม่ได้แสดงความตื่นตระหนกมากนัก สะท้อนผ่านดัชนีหุ้นในหลายประเทศที่ยังทรงตัวในระดับเดิม ซึ่งเป็นผลมาจากการที่นักลงทุนมองว่าการประกาศรอบนี้อาจเป็นเพียง “กลยุทธ์ต่อรอง” เพื่อกดดันให้ประเทศต่างๆ กลับเข้าสู่โต๊ะเจรจาตามเงื่อนไขของสหรัฐฯ มากกว่าการดำเนินมาตรการในทันที
ในบทความนี้ เราจะพาไปเจาะลึกรายละเอียดของภาษีศุลกากรชุดใหม่ ท่าทีของประเทศต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบ และเหตุผลที่ทำให้ตลาดการเงินดูไม่ได้สะท้อนความกังวลมากนัก
รายละเอียดภาษีศุลกากรรอบใหม่และท่าทีของประเทศที่ได้รับผลกระทบ
รอบนี้ สหรัฐฯ ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรรอบใหม่ โดยเริ่มจากการส่งจดหมายอย่างเป็นทางการโดยตรงถึงผู้นำ 14 ประเทศ เมื่อวันที่ 7 ก.ค. ที่ผ่านมา ได้แก่ ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, มาเลเซีย, คาซัคสถาน, ตูนิเซีย, แอฟริกาใต้, บอสเนีย, อินโดนีเซีย, บังคลาเทศ, เซอร์เบีย, กัมพูชา, ไทย, ลาว และเมียนมา ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงอัตราภาษีเดิมหรือปรับลดลง ยกเว้นญี่ปุ่นและมาเลเซียที่ถูกปรับเพิ่มเล็กน้อย
ต่อมาเมื่อวันที่ 10-11 ก.ค. ที่ผ่านมา สหรัฐฯ ประกาศรายละเอียดภาษีเพิ่มอีก 9 ประเทศ ซึ่งมีสองประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีสูงเป็นพิเศษ ได้แก่ บราซิล และแคนาดาที่ถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 50% และ 35% ตามลำดับ โดยสหรัฐฯ ให้เหตุผลการเก็บภาษีบราซิลครั้งนี้ว่า เป็นการตอบโต้พฤติกรรมทางการเมืองและการค้าที่ไม่เป็นธรรม ขณะที่ฝั่งแคนาดาให้เหตุผลว่า แคนาดาไม่ยอมให้ความร่วมมือในการควบคุมการส่งออกเฟนทานิล แถมยังเลือกตอบโต้ทางการเมืองกลับแทน
นอกจากรายละเอียดภาษีข้างต้นที่ทางสหรัฐฯ ยังกำลังพิจารณาที่จะส่งข้อเสนอเก็บภาษีกับประเทศส่วนใหญ่ที่ไม่ได้รับจดหมายในอัตราภาษีที่ 15-20%
ทั้งนี้อัตราภาษีรอบใหม่นี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้จริงในวันที่ 1 ส.ค. ซึ่งถือเป็นการเปิดช่องทางให้ประเทศต่างๆ เข้ามาเจรจากับสหรัฐฯ ต่อ และยังสอดคล้องกับถ้อยแถลงของ Trump ที่ยืนยันว่า “ยังพร้อมเปิดรับการเจรจา” และ Trump ก็ยังได้ระบุว่าหากการเจรจาไม่มีความคืบหน้า อัตราภาษีที่ประกาศจะถือเป็น “อัตราสุดท้าย” ที่จะมีผลบังคับใช้จริง นอกจากนี้ Trump ยังเน้นย้ำว่ากำหนดการเก็บภาษีจริงในวันที่ 1 ส.ค. นี้ จะถือเป็นเส้นตายที่จะไม่ถูกเลื่อนอีกต่อไป
ภายหลังจากการประกาศ ประเทศต่างๆ ได้แสดงท่าทีที่แตกต่างกันออกไป เช่น ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไทยและอินโดนีเซีย แสดงความตั้งใจที่จะเร่งรัดการเจรจาเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษีศุลกากรดังกล่าว ส่วนประเทศในเอเชียตะวันออกอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้แสดงท่าทีที่ระมัดระวังแต่ยืนยันว่าจะเดินหน้าเจรจาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่บางประเทศในยุโรปเริ่มหารือร่วมกันเพื่อหาทางออกมาตรการตอบโต้ในกรณีที่มาตรการมีผลจริง ส่วนทางบราซิลถือเป็นหนึ่งประเทศที่ออกมาแสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าพร้อมที่จะใช้มาตรการตอบโต้สหรัฐฯ กลับต่อมาตรการภาษีศุลกากร

รายละเอียดภาษีศุลกากรอื่นๆ ที่เก็บเพิ่ม
นอกจากมาตรการภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ ส่งจดหมายแจ้งไปยัง 23 ประเทศแล้ว รัฐบาลสหรัฐฯ ยังได้ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรเพิ่มเติมในอีกหลายส่วน โดยมีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้:
- เรียกเก็บภาษีเพิ่มอีก 10% สำหรับประเทศที่สนับสนุนนโยบายของกลุ่ม BRICS
-มาตรการนี้ครอบคลุมประเทศที่มีท่าทีสนับสนุนความพยายามของ BRICS ในการลดบทบาทของสหรัฐฯ บนเวทีโลก เช่น อินเดีย แม้จะไม่อยู่ในรายชื่อ 23 ประเทศที่ได้รับจดหมาย แต่ก็ถูกระบุว่าอาจต้องเผชิญกับภาษีศุลกากรเพิ่มเติม เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม BRICS - ปรับขึ้นภาษีนำเข้าทองแดงในอัตรา 50% และเวชภัณฑ์สูงสุดถึง 200%
-สินค้าทั้งสองกลุ่มนี้ถูกจัดอยู่ในรายการสินค้ากลยุทธ์ หากบริษัทยาไม่ย้ายฐานการผลิตกลับเข้าสหรัฐฯ ก็จะต้องเผชิญกับอัตราภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นอย่างมาก
สิ่งที่น่าสังเกตในมาตรการรอบนี้คือ หลายประเทศและอุตสาหกรรมที่ถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมในรอบนี้ ล้วนมีความเกี่ยวพันกับกลุ่มประเทศ BRICS (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้) ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า และนโยบายการเงิน โดยเฉพาะประเทศที่สนับสนุนแนวคิดการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หรือมีท่าทีทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สวนทางกับสหรัฐฯ ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายประเมินว่า การใช้มาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ในครั้งนี้ อาจสะท้อนถึงการใช้ “ภาษีศุลกากร” เป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมืองและรักษาความมั่นคงในระดับระหว่างประเทศอีกด้วย
ในทางกลับกัน ประเทศบางกลุ่มที่มีดุลการค้าสูงกับสหรัฐฯ หรือมีโอกาสเข้าข่ายมาตรการภาษี กลับยังไม่ถูกรวมอยู่ในประกาศมาตรการภาษีรอบล่าสุด อาจเป็นเพราะว่าประเทศเหล่านี้ไม่ได้เป็นภัยต่อสหรัฐฯ หรือประเทศเหล่านี้กำลังอยู่ในกระบวนการเจรจาร่วมกับสหรัฐฯ หรือมีบทบาทด้านอื่นๆ ที่สหรัฐฯ ยังคงต้องพึ่งพาอยู่ เช่น ความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างประเทศ หรือการเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานด้านเทคโนโลยีขั้นสูง เป็นต้น
ตลาดการเงินยังสงบ แต่ต้องจับตาใกล้ชิด
แม้จะมีการประกาศมาตรการภาษีหลายรายการ แต่ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงมีเสถียรภาพ โดยดัชนีหลักทั่วโลกยังคงทรงตัวในระดับเดิม สะท้อนความเชื่อของนักลงทุนที่มองว่าสถานการณ์ปัจจุบันยังอยู่ในช่วงของ “การต่อรอง” มากกว่าการดำเนินมาตรการจริง อีกทั้งการขยายระยะเวลาผ่อนผันก่อนเริ่มจัดเก็บภาษีในวันที่ 1 ส.ค. ยังช่วยบรรเทาความกังวลในระยะสั้น และตอกย้ำว่าสหรัฐฯ ยังคงเปิดช่องทางให้มีการเจรจาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ถึงแม้ในตอนนี้ ตลาดจะดูเหมือนยังไม่ค่อยกังวลต่อมาตรการภาษี แต่ความไม่แน่นอนของรายละเอียดมาตรการภาษีที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการตัดสินใจของประเทศคู่ค้า และท่าทีของสหรัฐฯ ก่อนถึงเส้นตาย 1 ส.ค. นี้ ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ตลาดยังคงให้ความสำคัญและติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากมาตรการภาษีรอบใหม่นี้จะเป็นตัวตัดสินทิศทางการค้าและการลงทุนต่อจากนี้ รวมถึงประเด็นนี้อาจเชื่อมโยงไปถึงอัตราเงินเฟ้อ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในหลายภูมิภาคทั่วโลกด้วย
ด้วยเหตุนี้ พัฒนาการของมาตรการภาษีในรอบนี้ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่นักลงทุนต้องติดตามอย่างใกล้ชิดว่าประเทศใดหรืออุตสาหกรรมใดจะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ อีก โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่ยังไม่ได้รับจดหมายแจ้งอัตราภาษีในรอบนี้ ซึ่งในขณะนี้ มีเพียงสหราชอาณาจักรและเวียดนามที่สามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐฯ ได้แล้ว ส่วนจีนยังอยู่ในสถานะ “พักรบชั่วคราว” ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนและมีความเสี่ยงที่จะถูกปรับเพิ่มอัตราภาษีในระยะต่อไปอยู่
แต่ที่ผ่านมาสุดท้ายเราก็ได้รับบทเรียนสำคัญแล้วว่าอัตราภาษีหรือนโยบายการค้าที่ Trump ประกาศนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา…
ที่มา: Bloomberg, CNBC, Goldman Sachs