
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น Shigeru Ishiba ประกาศก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นและหัวหน้าพรรค Liberal Democratic Party (LDP) ท่ามกลางปัญหาต่างๆ ของพรรคที่รุมเร้ามาอย่างยาวนานไม่ว่าจะเป็นความแตกแยกที่รุนแรงภายในพรรค สถานการณ์ของพรรคที่สูญเสียเสียงข้างมากทั้งในรัฐสภาครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2009 และและยังสูญเสียเสียงข้างมากในการเลือกตั้งสภาสูงเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยภายหลังจากที่ Ishiba ประกาศลาออก ทำให้พรรค LDP ต้องเร่งหาหัวหน้าพรรคคนใหม่ซึ่งปัจจุบันมี 2 แคนดิเดตที่มีโอกาสสูงที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ได้แก่ Sanae Takaichi และ Shinjiro Koizumi และผู้ที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค LDP ก็จะต้องพยายามรวบรวมเสียงโหวตในสภาให้ได้มากที่สุดเพื่อที่จะยังคงรักษาตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นให้อยู่กับพรรค LDP เหมือนเดิม
Sanae Takaichi วัย 64 ปี เต็งหนึ่งหัวหน้าพรรค LDP คนใหม่ อาจได้เป็นนายกฯ หญิงคนแรกของญี่ปุ่น
Sanae Takaichi ถือว่าเป็นเต็งหนึ่งในการชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรค LDP โดยเธอเป็นนักการเมืองอาวุโสสายอนุรักษ์นิยมที่เคยได้ดำรงตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลพรรค LDP ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี Shinzo Abe มาตั้งแต่สมัยแรกและเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีความมั่นคงทางเศรษฐกิจในรัฐบาลของนาย Fumio Kishida จนกระทั่งเธอปฏิเสธบทบาทสำคัญในรัฐบาลของ Shigeru Ishiba หลังจากที่ลงแข่งขันกับ Ishiba ในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค LDP เมื่อปีที่แล้วและแพ้ในรอบตัดสินแม้ว่าจะนำก่อนในรอบแรก
ด้วยการทำงานกับ Abe มาอย่างยาวนาน ทำให้ Takaichi เป็นผู้ที่มีความคุ้นชินและมีท่าทีสนับสนุนนโยบายเศรษฐกิจแบบ “Abenomics” ที่เรียกได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิรูปธรรมาภิบาลบริษัทเอกชนญี่ปุ่นที่ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมากในปัจจุบัน นอกจากนี้ นโยบายเศรษฐกิจดังกล่าวมีอิทธิพลต่อมุมมองทางเศรษฐกิจของ Takaichi เป็นอย่างมากซึ่งเห็นได้จากมุมมองต่อการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารญี่ปุ่น (BOJ) ที่เธอได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า ‘เร็วเกินไป’ และการสนับสนุนนโยบายการคลังขนาดใหญ่ที่มุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือภาคครัวเรือน
Shinjiro Koizumi วัย 44 ปี ทายาทอดีตนายกรัฐมนตรี และรมต. กระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง
Shinjiro Koizumi เป็นอีกหนึ่งผู้ท้าชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค LDP ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง โดยมีดีกรีเป็นถึงอดีตลูกชายอดีตนายกรัฐมนตรี Junichiro Koizumi ที่เคยดำรงตำแหน่งในปี 2001-2005 โดยตนเป็นอีกหนึ่งตัวเต็งที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นหลังสามารถทำหน้าที่ในการแก้ปัญหาระดับชาติอย่างภาวะขาดแคลนข้าวในปีนี้ได้ดี แม้จะมีประสบการณ์ทางการเมืองไม่มากแต่เขาได้วางตัวเองเป็นนักปฏิรูปที่สามารถฟื้นความเชื่อมั่นของประชาชนโดยที่ยังมีบทบาทในพรรค LDP ต่างจาก Takaichi ที่ถอนตัวจากรัฐบาลหลังความพ่ายแพ้ เขาเลือกที่จะอยู่ใกล้ชิดกับ Ishiba ในฐานะรัฐมนตรีในรัฐบาลต่อไป
ก่อนหน้านี้เขาเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อมในปี 2019 โดยเรียกร้องให้ญี่ปุ่นเลิกใช้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ความเห็นด้านเศรษฐกิจของเขา โดยเฉพาะเกี่ยวกับ BOJ ยังคงไม่ชัดเจนซึ่งผลงานการแก้ปัญหาข้าวขาดแคลนอาจสามารถเรียกคะแนนเสียงจากประชากรที่อาศัยในตัวเมืองที่กำลังเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้นมาอย่างยาวนาน
และนอกจาก 2 ตัวเต็งสำคัญแล้วยังมีบุคคลในพรรค LDP อีก 3 ท่านที่คาดว่าจะลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคและก้าวขึ้นมาเป็นนากยกรัฐมนตรีคนใหม่ รวมถึงอีก 2 บุคคลในพรรคฝ่ายค้านที่หากสามารถรวบรวมเสียงได้มากพอ ก็มีโอกาสที่จะสามารถขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นได้เหมือนกัน เนื่องจากปัจจุบันพรรค LDP ไม่ได้ครองเสียงข้างมากในสภา
Yoshimasa Hayashi วัย 64 ปี:
Hayashi ดำรงตำแหน่งหัวหน้าเลขาธิการคณะรัฐมนตรีตั้งแต่เดือนธันวาคม 2023 ภายใต้นายกฯ Kishida และ Ishiba ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญ รวมถึงเคยทำหน้าที่เป็นโฆษกรัฐบาล เขาเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม การต่างประเทศ และเกษตร นอกจากนี้ Hayashi เป็นที่รู้จักในฐานะ “นักแก้ไขปัญหา” ที่ถูกเรียกมารับช่วงต่อหลังการลาออกของรัฐมนตรีคนก่อน
Hayashi สำเร็จการศึกษาที่ Harvard Kennedy School เขาพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วขณะที่ประสบการณ์ทำงาน Hayashi เคยทำงานกับ Mitsui & Co รวมถึงเคยเป็นผู้ช่วยของ Stephen Neal และ William Roth Jr. ในสภาคองเกรสสหรัฐฯ นอกจากนี้ เขาเคยลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค LDP ในปี 2012 และ 2024 และสนับสนุนความเป็นอิสระของ BOJ อย่างต่อเนื่อง
Toshimitsu Motegi วัย 69 ปี:
อดีตรัฐมนตรีการต่างประเทศ Motegi มีชื่อเสียงในฐานะนักเจรจาที่แข็งกร้าว เขาเคยเป็นผู้เจรจากับ Robert Lighthizer ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ในสมัยประธานาธิบดี Donald Trump ดำรงตำแหน่งครั้งแรก เขายังเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีการค้า รัฐมนตรีเศรษฐกิจ และเลขาธิการพรรค LDP
เขาศึกษาที่ Harvard Kennedy School และเคยทำงานกับหนังสือพิมพ์ Yomiuri รวมถึงบริษัทที่ปรึกษา McKinsey ก่อนเข้าสู่การเมืองในปี 1993 ในการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค LDP ปีที่แล้ว เขาสัญญาว่าจะผลักดันการเติบโตเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายด้านกลาโหมที่สูงขึ้นโดยไม่ขึ้นภาษี ซึ่งนักวิจารณ์มองว่าขัดแย้งกับการตัดสินใจของ Kishida ที่เพิ่มภาระของประชาชน แม้ว่า Motegi จะเป็นผู้ช่วยใกล้ชิดของ Kishida ในฐานะเลขาธิการพรรคก็ตาม
Takayuki Kobayashi วัย 50 ปี:
Kobayashi เคยเป็นรัฐมนตรีความมั่นคงทางเศรษฐกิจภายใต้รัฐบาล Kishida และเป็นผู้ผลักดันกฎหมายด้านความมั่นคงทางเศรษฐกิจเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญ เขาศึกษาที่ Harvard Kennedy School และเริ่มอาชีพในกระทรวงการคลัง ก่อนย้ายไปทำงานที่สถานทูตญี่ปุ่นในสหรัฐฯ และเข้าสู่การเมืองในปี 2010
เขาได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในปี 2012 และเคยเป็นรองรัฐมนตรีกลาโหมภายใต้ Abe เช่นเดียวกับ Takaichi เขาได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมของ LDP ด้วยแนวคิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
พรรคฝ่ายค้าน
Constitutional Democratic Party of Japan – Yoshihiko Noda วัย 68 ปี:
อดีตนายกรัฐมนตรี Noda เป็นผู้นำฝ่ายค้านกลุ่มใหญ่สุดจากพรรค Constitutional Democrats เขาเคยเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2011–2012 และร่วมกับ LDP ผ่านกฎหมายเพิ่มภาษีการบริโภคเป็น 10% เพื่อจัดการหนี้สาธารณะ ทำให้เขามีชื่อเสียงในฐานะ “เหยี่ยวการคลัง” ในการเลือกตั้งสภาสูงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เขาเปลี่ยนท่าทีโดยเรียกร้องให้ลดภาษีการบริโภคสำหรับสินค้าอาหารชั่วคราว Noda ยังเรียกร้องซ้ำ ๆ ให้ยุติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของ BOJ อย่างค่อยเป็นค่อยไป
Democratic Party for the People – Yuichiro Tamaki, 56 ปี:
Tamaki นำพรรคสายกลางขวาที่เติบโตเร็วในการเลือกตั้งช่วงหลัง เขาเป็นอดีตข้าราชการกระทรวงการคลัง และร่วมก่อตั้ง Democratic Party for the People ในปี 2018 นโยบายหลักของเขาคือการเพิ่มรายได้สุทธิของประชาชนผ่านการขยายการยกเว้นภาษีและการลดภาษีการบริโภค
Tamaki สนับสนุนการเสริมกำลังป้องกันประเทศ การควบคุมที่เข้มงวดขึ้นต่อการซื้อที่ดินโดยชาวต่างชาติ และการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพิ่มเติม เขายังเรียกร้องให้ BOJ ระมัดระวังในการยกเลิกมาตรการกระตุ้น โดยให้รอจนกว่าค่าจ้างที่แท้จริงจะกลับมาเป็นบวกเพื่อสนับสนุนการบริโภค
ปัญหาค่าครองชีพสูงเป็นความท้าทายทางเศรษฐกิจที่นายกคนใหม่ต้องเข้ามารีบแก้ไข
โดยไม่ว่าใครจะก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่นก็ตาม ปัญหาสำคัญที่จำเป็นต้องรีบแก้ไขก็คือ ปัญหาด้านค่าครองชีพที่เร่งตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว โดยสินค้าที่ถูกพูดถึงมากที่คงจะหนีไม่พ้นข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวญี่ปุ่นโดยข้อมูลล่าสุดราคาข้าวในเดือนกรกฎาคมเร่งตัวขึ้นมาสูงถึง 90.7% YoY ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้อต่อผลผลิต และยังมาจากอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้ญี่ปุ่นเกิดภาวะการขาดแคลนข้าว นั่นคือ นโยบายที่มุ่งเน้นไปยังการรักษาฐานเสียงและผลประโยชน์จากเกษตรกร เช่น การจำกัดการเพาะปลูกเพื่อป้องกันไม่ให้ราคาตกต่ำ และการตั้งภาษีนำเข้าสินค้าเกษตร
นอกจากประเด็นค่าครองชีพแล้ว ปัญหาหนี้สาธารณะที่อยู่ในระดับสูงก็ยังคงเป็นปัจจัยกดดันต่อสถานะทางการคลังของรัฐบาล โดยในปัจจุบันญี่ปุ่นต้องใช้งบประมาณกว่า ¥32.4 trillion สำหรับการชำระหนี้ ซึ่งความเสี่ยงดังกล่าวส่งผลกระทบไปยังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่ใกล้ระดับสูงสุดในรอบหลายปี
การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอีกโจทย์สำคัญที่จะต้องมีคนมารับไม้ต่อ
นอกจากประเด็นค่าครองชีพแล้ว ประเด็นด้านการค้าระหว่างประเทศโดยเฉพาะข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอีกเรื่องที่นากยกฯคนใหม่จะต้องเข้ามาสานต่อเพื่อรักษาผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมในประเทศบนเวทีโลก แม้ว่าทั้ง 2 ชาติจะสามารถตกลงอัตราภาษีใหม่ลดภาษีนำเข้ารถยนต์ญี่ปุ่นจาก 27.5% เหลือ 15% อ้างอิงจากเอกสารราชการทางการค้าของสหรัฐฯ ลงวันที่ 9 ก.ย. อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงทางการค้าของสินค้าบางชนิดยังไม่เป็นที่สิ้นสุดโดยเฉพาะสินค้าอีก 2 รายการสำคัญได้แก่ เวชภัณฑ์ และเซมิคอนดักเตอร์ที่ยังคงไม่มีความคืบหน้าใดๆ
ศึกชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรค LDP ครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การเปลี่ยนตัวผู้นำพรรคเท่านั้น แต่เป็นเดิมพันครั้งสำคัญต่ออนาคตของญี่ปุ่น ท่ามกลางวิกฤตศรัทธาทางการเมืองที่หยั่งรากลึก ปัญหาปากท้องของประชาชนที่รอการแก้ไขอย่างเร่งด่วน และแรงกดดันจากเวทีโลกที่หนักหน่วงขึ้นทุกขณะ
ผู้ชนะไม่ได้เพียงแค่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แต่ต้องแบกรับภารกิจในการกอบกู้เสถียรภาพของพรรคที่กำลังเปราะบางและสมานรอยร้าวภายในชาติ โจทย์สำคัญจึงอยู่ที่ว่า ใครจะสามารถนำพาญี่ปุ่นฝ่ามรสุมลูกนี้ไปได้ หรือนี่จะเป็นอีกครั้งที่ “ประตูหมุน” ของตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นจะกลับมาทำงานอีกครั้ง ตอกย้ำภาพความไร้เสถียรภาพทางการเมืองต่อไปในสายตาชาวโลก
ที่มา: Bloomberg, Reuters