/
/
/
/
3 ประเด็นที่จะทำให้หุ้นกลุ่ม Health Care ในสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อในปีนี้

3 ประเด็นที่จะทำให้หุ้นกลุ่ม Health Care ในสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อในปีนี้

ที่ผ่านมาภาพจำในอดีตของนักลงทุนจะมองว่าในปีที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีหุ้นกลุ่ม Health Care ในสหรัฐฯ มักจะมีความผันผวนสูงและอาจให้ผลตอบแทนติดลบ เนื่องจากนโยบายการหาเสียงของผู้สมัครจากทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันมักจะมีการหาเสียงที่เชื่อมโยงถึงประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่ม Health Care ซึ่งนักลงทุนบางส่วนก็เชื่อว่าในปีนี้หุ้นกลุ่ม Health Care ในสหรัฐฯ ก็น่าจะมีความผันผวนไม่ต่างจากปีที่มีการเลือกตั้งในอดีต

แต่ในปีนี้ดูเหมือนว่าประวัติศาสตร์ที่มักเกิดขึ้นกับกลุ่ม Health Care ในสหรัฐฯ อาจจะไม่ซ้ำรอบ โดยตั้งแต่ต้นปี ราคาดัชนีหุ้นกลุ่ม Health Care ในสหรัฐฯ ถือเป็นหนึ่งในหุ้นกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นมาได้ค่อนข้างโดดเด่น โดยปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า +15.25% (ข้อมูล ณ วันที่ 12 ก.ย. 2024) ซึ่งได้รับแรงหนุนมาจากมุมมองเชิงบวกในเรื่องที่นโยบายการเงินทั่วโลกจะเริ่มกลับทิศเป็นขาลง ประกอบกับการขยายตัวที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจในหลายๆ ประเทศ รวมทั้งปัจจัยหนุนเฉพาะตัวของบริษัท เช่น หุ้น Eli Lilly ที่ปรับตัวขึ้น +61.20% นับตั้งแต่ต้นปี (ข้อมูล ณ วันที่ 12 ก.ย. 2024) หนุนโดยการเปิดตัวยาลดน้ำหนักตัวใหม่ ซึ่งคาดว่าจะช่วยหนุนให้รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด เป็นต้น

ซึ่งถึงแม้ว่าราคาหุ้นกลุ่ม Health Care ในสหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างเยอะแล้ว แต่ก็ยังมีปัจจัยหนุนอีกหลายประเด็นที่จะช่วยหนุนให้ราคาหุ้นกลุ่ม Health Care ปรับตัวขึ้นต่อ โดยในวันนี้เราจะกล่าวถึง 3 ประเด็นหลักที่จะทำให้หุ้นกลุ่ม Health Care มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อในช่วงที่เหลือของปีนี้

1. การย้ายกลุ่มอุตสาหกรรมที่ลงทุนของนักลงทุนทั่วโลก

ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา นักลงทุนทั่วโลกเริ่มกลับมามีความกังวลต่อประเด็นที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง ภายหลังจากที่ตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐฯ เริ่มออกมาชะลอตัวลง ซึ่งประเด็นดังกล่าวทำให้นักลงทุนบางส่วนทำการขายทำกำไรหุ้นกลุ่ม Tech ที่ปรับตัวขึ้นมาแรงในช่วงหลัง และหันไปทยอยลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive อย่างหุ้นกลุ่ม Consumer Staples และกลุ่ม Health Care แทน เนื่องจาก จากข้อมูลสถิติในอดีต หุ้นทั้งสองกลุ่มเป็นหุ้นที่ยังคงสามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และไม่ผันผวนไปตามภาวะเศรษฐกิจ รวมทั้งยังให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าดัชนี S&P500 ในช่วงที่ตลาดย่อตัวลง เช่น วิกฤต “Dot-Com” วิกฤตซับไพรม์ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน และในช่วงที่เกิดสงครามยูเครนกับรัสเซีย เป็นต้น

โดยถึงแม้ว่าข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ด้านอื่นๆ นอกเหนือจากตลาดแรงงานที่มีการประกาศออกมา จะบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่น่าจะเกิดเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง แต่อาจเป็นเพียงแค่การเติบโตช้าลงเท่านั้น อย่างไรก็ดีด้วยความกังวลที่ยังคงมีอยู่ นักลงทุนจึงยังคงมีโอกาสที่จะกระจายการลงทุนไปยังหุ้นกลุ่ม Defensive อย่างหุ้นกลุ่ม Health Care เพื่อลดความเสี่ยงพอร์ตการลงทุนในกรณีที่หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ซึ่งก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยหนุนให้หุ้นกลุ่ม Health Care ในสหรัฐฯ สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปได้ในช่วงที่เหลือของปี

2. ประเด็นการเมืองสหรัฐฯ อาจไม่น่ากังวลอย่างที่คาด

อย่างที่เราเคยกล่าวไว้ข้างต้น ว่าในอดีตหุ้นกลุ่ม Health Care ในสหรัฐฯ มักจะมีความผันผวนสูงและอาจให้ผลตอบแทนติดลบ ในปีที่มีการเลือกตั้ง เนื่องจากนโยบายหาเสียงของทั้งสองพรรค โดยเฉพาะในปี 2016 ที่ Hillary Clinton ตัวแทนชิงลงตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของพรรคเดโมแครตได้มีการนำนโยบายด้านการแพทย์มาเป็นนโยบายหลักในการหาเสียงทำให้ปีนั้นหุ้นกลุ่ม Health Care ในสหรัฐฯ มีความผันผวนสูงและปรับตัวลงแรงในช่วงก่อนการเลือกตั้ง แต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ถึงแม้ว่าทั้งสองพรรคจะมีการพูดถึงนโยบายด้านการแพทย์ แต่ไม่ได้นำนโยบายดังกล่าวมาเป็นนโยบายหลักในการหาเสียง ซึ่งสังเกตได้จาการดีเบตครั้งแรกระหว่าง Harris และ Trump ที่เกิดขึ้นในวันที่ 11 ก.ย. ที่ผ่านมา ที่ไม่ได้มีการพูดถึงนโยบายด้านการแพทย์เลย ทำให้นักวิเคราะห์มองว่าการเลือกตั้งสหรัฐฯ ครั้งนี้อาจไม่ได้กดดันหุ้นกลุ่ม Health Care เหมือนในอดีต

3. ผลการดำเนินงานยังแข็งแกร่ง และมีโอกาสเติบโตอีกมาก

นักวิเคราะห์คาดว่าผลการดำเนินงานของหุ้นกลุ่ม Health Care หลังจากนี้จะกลับมาขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง รับปัจจัยหนุนจากการเปิดตัวยารักษาใหม่ๆ และการควบรวมกิจการของหลายๆ บริษัทในกลุ่ม Health Care ที่มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นหลังทิศทางการเงินเริ่มกลับทิศเป็นขาลง รวมทั้งการเข้ามาของนวัตกรรม AI ที่จะช่วยหนุนให้บริษัทด้านการแพทย์สามารถพัฒนานวัตกรรมด้านการรักษาและคิดค้นยารักษาโรคใหม่ๆ ออกมาได้ง่ายและเร็วขึ้น

โดยนักวิเคราะห์คาดว่าไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ปีนี้ กำไรต่อหุ้นของหุ้นกลุ่ม Health Care ในสหรัฐฯ จะขยายตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 16.74% YoY และ 12.33% YoY ตามลำดับ

จากปัจจัยหนุนทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าหุ้นกลุ่ม Health Care ในสหรัฐฯ ยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ และในช่วงก่อนหน้านี้ที่นักลงทุนส่วนใหญ่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้น Growth อาทิกลุ่มเทคโนโลยีในสัดส่วนที่ค่อนข้างสูงแล้ว การกระจายการลงทุนบางส่วนมายังหุ้นกลุ่ม Health Care ในสหรัฐฯ จึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนที่เหมาะสมในสถานการณ์ปัจจุบัน

Source: Bloomberg, CNBC, Financial Times

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ TISCO Contact Center 0 2633 6000 กด 4 , 0 2080 6000 กด 4
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน

รายงานฉบับนี้ไม่ถือว่าเป็นคำเสนอหรือคำชี้ชวนให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ และจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่อประโยชน์แก่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเท่านั้น มิให้นำไปเผยแพร่ทางสื่อมวลชนหรือโดยทางอื่นใด ทิสโก้ไม่ต้องรับผิดต่อความเสียหายใดๆ ที่เกิดขึ้นโดยตรงหรือเป็นผลจากการใช้เนื้อหาหรือรายงานฉบับนี้ การนำไปซึ่งข้อมูล บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมายทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้เป็นการนำไปใช้โดยผู้ใช้ยอมรับความเสี่ยงและเป็นดุลยพินิจของผู้ใช้แต่ผู้เดียว

Scroll to Top
บริการออนไลน์
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
กองทุนรวม

เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานเว็บไซต์ของท่านให้ดียิ่งขึ้น และนำเสนอโฆษณาที่เกี่ยวข้องและตรงกับความสนใจของท่าน โดยท่านสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก นโยบายการใช้คุกกี้ กรุณากดยอมรับเพื่อยินยอมให้เราใช้คุกกี้

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้ที่จำเป็น

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

บันทึก