
ในช่วงต้นเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นจีนดูเหมือนจะอยู่ในช่วงพักฐาน นักลงทุนหลายคนจึงเริ่มตั้งคำถามว่า “ตลาดหุ้นจีนยังน่าลงทุนอยู่ไหม?” ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและ
ความตึงเครียดทางการค้า แต่เพียงไม่กี่สัปดาห์ต่อมา บรรยากาศก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากตลาดหุ้นจีนกลับมาคึกคักอีกครั้ง พร้อมแรงซื้อจากทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างชาติ โดยการฟื้นตัวครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่มีปัจจัยหนุนที่ชัดเจนและทรงพลังอยู่เบื้องหลัง ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้กับตลาด และอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับมาอย่างแข็งแกร่งของเศรษฐกิจจีนในระยะข้างหน้า
โดยบทความนี้จะมาเจาะลึกถึง 3 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดหุ้นจีนกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง
สหรัฐฯ เลื่อนการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนไปอีก 90 วันจนถึงวันที่ 10 พ.ย.
ข่าวแรกที่สร้างแรงบวกให้กับตลาดหุ้นจีน คือ การที่ ปธน. Donald Trump ของสหรัฐฯ ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารเพื่อขยายระยะเวลาการเลื่อนการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนออกไปอีก 90 วัน จนถึงวันที่ 10 พ.ย. 2025
ถึงแม้การประกาศของ Trump ในครั้งนี้จะยังไม่ใช่สัญญาณของการยุติความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการ แต่การเลื่อนเส้นตายนี้ถือเป็น “โอกาส” ให้สองประเทศมหาอำนาจได้เจรจาเพื่อหาข้อตกลงที่เป็นธรรม ซึ่งอาจนำไปสู่การยุติข้อพิพาททางการค้าที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน
โดยปัจจัยดังกล่าวทำให้นักลงทุนผ่อนคลายความกังวลต่อความไม่แน่นอนด้านการค้าและเริ่มกลับมามีความเชื่อมั่นเชิงบวกต่อตลาดหุ้นจีนมากขึ้น สะท้อนผ่านแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่มองเห็นโอกาสในการฟื้นตัวของภาคการส่งออกและการผลิต
รัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นภาคการบริโภคและการใช้จ่ายภายในประเทศ
ล่าสุดรัฐบาลจีนได้ประกาศ “แผนกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่” โดยเน้นไปที่การฟื้นฟูการบริโภคภายในประเทศ ผ่านการอุดหนุนดอกเบี้ยเงินกู้และการปล่อยสินเชื่อใหม่ ด้วยการร่วมมือกับธนาคารภาครัฐ ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทไฟแนนซ์เพื่อผู้บริโภค รวมกว่า 20 แห่ง
โดยหนึ่งในมาตรการที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือ การอุดหนุนดอกเบี้ยเงินกู้ 1% ต่อปี แก่ภาคครัวเรือนและธุรกิจใน 8 กลุ่มบริการ ได้แก่ การศึกษา การแพทย์ การท่องเที่ยว การซื้อรถยนต์ การดูแลผู้สูงอายุ การพัฒนาทักษะอาชีพ การปรับปรุงที่อยู่อาศัย และการใช้จ่ายด้านสุขภาพจิต โดยผู้กู้จะสามารถรับเงินอุดหนุนสูงสุด 3,000 หยวนต่อราย ภายในระยะเวลา 12 เดือน ซึ่งวงเงินกู้นี้จะครอบคลุมทั้งสินเชื่อขนาดเล็กและขนาดใหญ่ รวมทั้งภาระต้นทุนดอกเบี้ยดังกล่าวรัฐบาลจะเป็นผู้รับผิดชอบแทนภาคธนาคาร เพื่อให้ผู้กู้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องแบกรับภาระดอกเบี้ยเต็มจำนวน
นอกจากนี้ รัฐบาลยังตั้งเป้าให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ ปล่อยสินเชื่อใหม่มูลค่ารวมกว่า 5 trillion yuan ภายในสิ้นปี 2025 โดยจะเน้นการสนับสนุนไปที่กลุ่มผู้บริโภคทั่วไปและผู้ประกอบการ SMEs ที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว อย่างไรก็ดีภาครัฐได้เน้นย้ำให้ธนาคารพิจารณาการปล่อยกู้ตาม “สถานะเครดิตจริง” ของผู้กู้ เพื่อให้สินเชื่อมีคุณภาพและไม่ก่อให้เกิดปัญหาหนี้เสียในระยะยาว
มาตรการเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในระบบการเงิน แต่ยังกระตุ้นการใช้จ่ายในเมืองระดับรอง และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจะสามารถกระตุ้นอุปสงค์ผู้บริโภคได้ถึง 1 trillion yuan
ผลการดำเนินงานไตรมาสล่าสุดของบริษัทเทคฯ จีน ยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง
แม้เศรษฐกิจโลกจะยังเผชิญความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ แต่บริษัทเทคจีน โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับ AI ยังคงแสดงศักยภาพผ่านผลการดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินงานของเทคฯ จีนที่ออกมาแล้ว ได้แก่
Tencent
- รายงานรายได้ไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น +15% YoY อยู่ที่ 184.50 billion yuan รับแรงหนุนจากธุรกิจเกมและโฆษณาที่เติบโตแข็งแกร่งกว่า +20% YoY โดยธุรกิจเกมได้รับแรงส่งจากเกมใหม่ เช่น Delta Force และ Dune: Awakening รวมถึงเกมเดิมที่ยังทำรายได้ดี เช่น Honour of Kings และ PUBG MOBILE ขณะที่ธุรกิจโฆษณาเติบโตจากการนำ AI มายกระดับแพลตฟอร์มบน Weixin ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้แม่นยำขึ้น
- บริษัทยังเดินหน้าลงทุนเพิ่มในโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากบริษัทมองว่าในระยะถัดไป AI จะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาแพลตฟอร์มและบริการดิจิทัลต่างๆ ในอนาคต
NetEase
- รายงานรายได้ไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น +9.4% YoY อยู่ที่ 27.89 billion yuan ได้รับแรงหนุนจากธุรกิจเกมที่ยังเติบโตต่อเนื่อง ทั้งจากเกมยอดนิยมอย่าง Identity V และเกมเปิดตัวใหม่ Where Winds Meet และ Marvel Rivals ด้านกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น +27% YoY อยู่ที่ 8.6 billion yuan สะท้อนถึงการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและการขยายฐานผู้เล่น
- แม้ผลการดำเนินงานไตรมาสนี้ของบริษัทจะออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้เล็กน้อย แต่ผู้บริหารยังคงแสดงความมั่นใจต่อแนวโน้มการเติบโตระยะข้างหน้าของบริษัท จากแผนพัฒนาเกมใหม่กว่า 60 เกม และสัญญาณเชิงบวกจากรัฐบาลจีนในการผ่อนคลายกฎระเบียบด้านเกม ซึ่งอาจช่วยให้บริษัทเปิดตัวเกมใหม่ได้เร็วขึ้น
JD.com
- รายงานรายได้ไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น +22.4% YoY อยู่ที่ 356.66 billion yuan ได้รับแรงหนุนจากการเติบโตที่แข็งแกร่งของธุรกิจหลักอย่าง JD Retail และ JD Logistics ที่เติบโตมากกว่า 15% ตามการฟื้นตัวของการใช้จ่ายในจีนหลังทางบริษัทได้ให้ส่วนลดสินค้าจำนวนมากแก่ผู้ซื้อตามนโยบายของบริษัทและการสนับสนุนของภาครัฐ ด้านธุรกิจใหม่ อย่าง JD Food Delivery ก็เติบโตอย่างแข็งแกร่งรับแรงหนุนจากจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นและความถี่ในการซื้อสินค้าของผู้ใช้งาน
- แม้กำไรสุทธิจะลดลง 51% YoY อยู่ที่ 6.17 billion จากค่าใช้จ่ายด้านการตลาดในธุรกิจใหม่ แต่ผู้บริหารยังคงมองว่าเป็นการลงทุนที่จำเป็น เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับการแข่งขันที่เข้มข้นในตลาด E-Commerce และ Food Delivery ซึ่งยังมีโอกาสเติบโตอีกมากในระยะข้างหน้า
การเติบโตของบริษัทเทคจีนฯ เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่งของเศรษฐกิจดิจิทัลจีน และเป็นหนึ่งปัจจัยที่ช่วยดึงดูดให้นักลงทุนทั้งภายในและต่างประเทศกลับมาสนใจลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจีนอีกครั้ง
แม้ตลาดหุ้นจีนจะเริ่มกลับมาน่าสนใจอีกครั้งจาก 3 ปัจจัยหลักที่กล่าวมาข้างต้น แต่การลงทุนในตลาดหุ้นจีนยังคงต้องอาศัยการติดตามข่าวสารและวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างจีน–สหรัฐฯ ประสิทธิภาพของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และเสถียรภาพของบริษัทเอกชน ซึ่งหากจีนสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลาดหุ้นจีนก็อาจกลายเป็นหนึ่งในโอกาสการลงทุนที่น่าจับตามองที่สุดในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในช่วงที่เหลือของปี 2025
Source: Bloomberg, Company Website, CNBC