ในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนบางส่วนอาจเริ่มหมดหวังกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยตลาดหุ้นไทยต้องเผชิญกับหลายปัจจัยลบจากทั้งปัจจัยภายนอก ไม่ว่าจะเป็นภาวะดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง หรือ ปัญหาด้านความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และจากปัจจัยภายในทั้งประเด็นการเมือง , การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ไม่สูงมากนัก และนักลงทุนยังมีความกังวลว่าบริษัทที่ได้เข้าไปลงทุนนั้นจะมีความยั่งยืนมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ดี ท่ามกลางปัญหาเหล่านี้ยังคงมีอีกทางเลือกการลงทุนที่คาดว่าจะทำให้นักลงทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นในระยะยาว จากการเลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีแนวคิดในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นความยั่งยืนรวมทั้งมีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูง ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้นักลงทุนคาดหวังผลตอบแทนระยะยาวให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้
ผลตอบแทนตลาดหุ้นไทยอาจไม่ได้น้อยอย่างที่คิด
ถึงแม้ว่าตลาดหุ้นไทยจะดูมีความน่าสนใจน้อยกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่นๆ ที่ดัชนีราคาหุ้นปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง แต่การพิจารณาผลตอบแทนจากการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างเดียวนั้นอาจจะยังไม่เพียงพอที่จะสรุปได้ว่า นักลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะไม่สามารถสร้างผลตอบแทนให้เป็นบวกได้ หรือ ไม่สามารถคาดหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีในอนาคต ซึ่งนอกเหนือจากการเพิ่มขึ้นของระดับราคาที่เป็นผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับจากการลงทุนในหุ้นแล้ว ต้องไม่ลืมว่านักลงทุนยังมีโอกาสได้รับผลตอบแทนเพิ่มจากการจ่ายเงินปันผลของหุ้นนั้นอีกด้วย
โดยหากเปรียบเทียบข้อมูลอัตราเงินปันผล หรือ Dividend Yield ระหว่าง SET Index และ MSCI ACWI ซึ่งเป็นดัชนีตัวแทนของหุ้นทั่วโลกแล้ว พบว่า SET Index มีอัตราเงินปันผลเฉลี่ย 10 ปีอยู่ที่ระดับ 3.05% ขณะที่ MSCI ACWI มีอัตราเงินปันผลเฉลี่ย 10 ปี เพียงแค่ 2.31% เท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่าการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย เป็นอีกจุดแข็งหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยพอที่จะสามารถสู้กับตลาดหุ้นของประเทศอื่นๆ ได้
นอกเหนือจากความโดดเด่นของผลตอบแทนจากเงินปันผลที่มากกว่าตลาดหุ้นโลกแล้ว ผลตอบแทนจากเงินปันผลนั้นถือว่ามีอิทธิพลต่อผลตอบแทนของตลาดหุ้นไทยเป็นอย่างมาก ซึ่งหากพิจารณาจากข้อมูลผลตอบแทนที่รวมเงินปันผล (Total Return) และผลตอบแทนในรูปของการเปลี่ยนแปลงของระดับราคา (Price Index) ของตลาดหุ้นไทยย้อนหลังในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าดัชนีของหุ้นไทยหลักทั้ง 3 ดัชนี ซึ่งได้แก่ SET Index, SET50 Index และ SETHD Index นั้น แม้ว่าทั้ง 3 ดัชนีจะให้ผลตอบแทนในรูปของการเปลี่ยนแปลงของระดับราคาที่น่าผิดหวัง แต่ผลตอบแทนที่รวมเงินปันผลแล้วของทั้ง 3 ดัชนียังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้ ซึ่งจากตัวอย่างของข้อมูลเชิงสถิติในด้านการจ่ายปันผลของหุ้นไทยแล้วสามารถสะท้อนให้เห็นได้ว่าบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยก็ยังคงมีศักยภาพในการประกอบธุรกิจที่ดีอยู่และสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนด้วยการจ่ายเงินปันผลในระดับสูงอย่างสม่ำเสมอ
ความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจลงทุน
และอีกปัจจัยหนึ่งที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญในการนำมาประกอบการตัดสินใจลงทุนเพื่อสร้างโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวจากการลงทุน นั่นก็คือ การคำนึงถึงความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่เข้าไปลงทุน โดยบริษัทที่มีความยั่งยืนสูง สะท้อนว่าบริษัทไม่เพียงแค่จะมีวัตถุประสงค์ในการดำเนินธุรกิจเพื่อมุ่งหวังการเติบโตของรายได้หรือผลกำไรเพียงเท่านั้น แต่ยังตระหนักถึงทิศทางการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนตามหลัก ESG ที่มุ่งเน้นสร้างผลกระทบเชิงบวกใน 3 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) 2. ด้านสังคม (Social) 3. ด้านธรรมาภิบาล (Governance)
ซึ่งในช่วงที่มาบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทย ได้ตื่นตัวและเริ่มกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจตามหลัก ESG อย่างจริงจัง อาทิ บริษัทในกลุ่มธุรกิจด้านโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคที่มีส่วนร่วมในการพัฒนานวัตกรรมในด้านต่างๆ กลุ่มธุรกิจการแพทย์ที่มุ่งเน้นพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศ กลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่มีส่วนร่วมในการพัฒนาความเป็นอยู่โดยรวม และกลุ่มการเงินที่ดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคม
โดยจากข้อมูลในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาพบว่าดัชนี SETESG ที่รวมผลตอบแทนจากการจ่ายเงินปันผลเข้าไปด้วย สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าดัชนี SET Index ที่รวมผลตอบแทนจากการจ่ายเงินปันผล
ซึ่งถึงแม้บรรยากาศการลงทุนในหุ้นไทยอาจจะถือว่าไม่ดีมากนักในช่วงที่ผ่านมา แต่ตลาดหุ้นไทยก็ถือว่ายังไม่ถึงกับหมดหวังซะทีเดียว โดยการลงทุนในหุ้นกลุ่ม ESG ที่มีอัตราเงินปันผลสูงถือเป็นอีกหนึ่งความหวังว่าจะเป็นกลุ่มที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้กับการลงทุนตลาดหุ้นไทยได้