
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แสดงท่าทีไม่พอใจต่อจีนเป็นอย่างมากจนกระทั่งได้มีการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนเพิ่มขึ้น 100% ซึ่งชนวนเหตุของการขู่ขึ้นภาษีในรอบนี้มาจากการควมคุมการส่งออกทรัพยากรสำคัญที่มีชื่อว่า “แร่หายาก” หรือ “Rare Earths” ก่อนที่จะกลับลำท่าทีที่แข็งกร้าวต่อจีนพร้อมกลับมาสู่โต๊ะเจรจาอีกครั้งรวมถึงไม่ปิดโอกาสในการได้พบปะประธานาธิบดีสี จิ้นผิงในการประชุม APEC วันที่ 31 ตุลาคม ถึง 1 พฤศจิกายน ที่ประเทศเกาหลีใต้
จากเหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่และทำให้นักลงทุนจับตาสถานการณ์เกี่ยวกับแร่หายากเป็นพิเศษในช่วงนี้ ซึ่งในบทความสัปดาห์นี้จะพาผู้อ่านทุกท่านมาทำความรู้จักกับแร่หายากว่ามีความสำคัญอย่างไร และทำไมเหตุการณ์ดังกล่าวถึงสร้างผลกระทบต่อตลาดเป็นวงกว้างได้
แร่หายากมีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมในปัจจุบันอย่างไร?

แร่หายากกลายมาเป็นทรัพยากรหลักที่ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงและสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศต่างๆ อย่างเช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้นำแร่หายากมาแปรรูปเป็นแม่เหล็กเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องยนต์รวมถึงเป็นส่วนประกอบในแบตเตอรี่อีกด้วย ขณะที่อุตสาหกรรม Consumer Electronics ยังคงต้องพึ่งพาแร่หายากด้วยเช่นกันเพื่อนำมาใช้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เช่น หน้าจอ LED สำหรับโทรทัศน์จอแบน และฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์และสมาร์ตโฟนต่างๆ อีกทั้งอุตสาหกรรมทางการทหารเองก็มีความต้องการแร่หายากไม่น้อยไปกว่าอีก 2 อุตสาหกรรมข้างต้น ซึ่งแร่ดังกล่าวเป็นส่วนประกอบสำคัญเพื่อสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องบินรบ เรือดำน้ำ เรดาร์ทางทหาร และจรวดมิสไซล์ เป็นต้น
ซึ่งนอกจากทั้ง 3 อุตสาหกรรมแล้ว แร่หายากยังถูกใช้เป็นส่วนประกอบในอุตสาหกรรมทางการแพทย์อย่างเช่นเครื่อง MRI เพื่อวินิจฉัยโรคด้วยคลื่อนแม่เหล็กไฟฟ้าอีกด้วย
จีนกลับมาใช้การควบคุมการส่งออกแร่หายากเป็นข้อต่อรองอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าที่ผ่านมาจีนจะได้มีการผ่อนปรนการควบคุมการส่งออกด้วยการอนุมัติภายใต้ระเบียบการอนุญาตส่งออกแบบใหม่ภายใต้มาตรการ “One Batch, One License” ของจีน ซึ่งกำหนดให้บริษัทส่งออกแร่หายากต้องขออนุญาตจัดส่งแยกกันในแต่ละชนิดแร่ หลังจากที่เคยได้ควบคุมแร่หายาก 7 ชนิดช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ทว่าท่าทีของจีนได้กลับมาควบคุมการส่งแร่อีกครั้ง ซึ่งทางการจีนได้ยกระดับการส่งออกด้วยการเพิ่มรายชื่อแร่ที่อยู่ในการควบคุมทั้งหมด 12 รายการจากเดิมที่เคยควบคุมเพียงแค่ 7 รายการ นอกจากนี้ ยังได้ระงับการส่งออกแร่หายากไปยังอุตสาหกรรมทางการทหาร และกำหนดให้การอนุญาตส่งออกให้บริษัทผู้ผลิตชิปได้รับการอนุมัติเป็นกรณีไป
จากประเด็นดังกล่าวสร้างความกังวลต่อตลาดการเงินไม่น้อย เนื่องด้วยข้อได้เปรียบทางด้านกำลังการผลิตแร่หายากของจีนซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 70% ของกำลังการผลิตแร่หายากของทั้งโลกทำให้จีนได้หยิบยกประเด็นนี้เข้ามาเป็นเงื่อนไขในการต่อรองกับสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การใช้แร่หายากมาเป็นข้อต่อรองทางการค้านี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เคยเกิดขึ้นซึ่งย้อนไปเมื่อปี 2010 จีนเคยได้ขู่ควบคุมการส่งออกแร่หายากไปยังประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นคู่กรณีของจีนในขณะนั้นเนื่องจากความตึงเครียดกรณีความตึงเครียดบริเวณพื้นที่พิพาททางทะเลของทั้ง 2 ชาติ ก่อนที่ทั้ง 2 ชาติได้ประนีประนอมกันส่งผลให้จีนกลับมายินยอมส่งออกแร่หายากให้ญี่ปุ่นได้ในที่สุด
สหรัฐฯ เร่งเสริมแกร่งด้านความมั่นคงด้านทรัพยากรแร่หายาก

ด้วยบทบาทสำคัญของแร่หายากในปัจจุบัน หากการควบคุมการส่งออกแร่หายากของจีนบานปลายยิ่งขึ้นอาจสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจและตลาดแรงงานสหรัฐฯ ไม่น้อย ซึ่ง Goldman Sachs เคยได้วิเคราะห์และคาดการณ์ถึงผลกระทบของการควบคุมการส่งออกแร่หายาก เอาไว้ว่าหากบริษัทในอุตสาหกรรมที่ต้องใช้แร่หายากจะได้รับผลกระทบในสัดส่วนสูงถึง 10%-25% ของภาพรวมทั้งอุตสาหกรรมจะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงระหว่าง 0.3%-0.7% และกระทบกับแรงงานสหรัฐฯราว 200,000-500,000 ตำแหน่ง
อย่างไรก็ดี รัฐบาลสหรัฐฯ ได้เร่งเครื่องในการเสริมความมั่นคงทางด้านทรัพยากรแร่หายากมานับตั้งแต่ไตรมาส 3 ที่ผ่านมาโดยเริ่มจากการให้กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กลายมาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของ MP Materials โดยถือหุ้นในสัดส่วน 15% เพื่อร่วมมือสร้างโรงงานผลิตแม่เหล็กในประเทศแห่งที่สองในประเทศพร้อมกับลงนามในสัญญาการเป็นคู่ค้าตลอดระยะเวลา 10 ปีต่อจากนี้ ต่อมากระทรวงพลังงานสหรัฐฯ ได้เข้าถือหุ้น Lithium Americas สัดส่วน 5% และอีก 5% ในรูปแบบของการจัดตั้งกิจการร่วมค้า (Joint Venture) กับ General Motors เพื่อลงทุนในโครงการ Thacker Pass ในรัฐเนวาดา นอกจากนี้ รัฐบาลสหรัฐฯ ยังได้เสนอว่าจะเข้าถือหุ้นบริษัทเหมืองแร่หายากในออสเตรเลียเพื่อต้องการลดการพึ่งพาการนำเข้าแร่หายากจากจีน ขณะที่บริษัทเหมืองแร่หายากในออสเตรเลียเองก็พร้อมที่จะเข้ามาสร้างเหมืองในสหรัฐฯ อีกด้วย
ขณะเดียวกันภาคเอกชนนำโดย JPMorgan สถาบันการเงินชั้นนำของสหรัฐฯ ประกาศลงทุนด้วยจำนวนเงิน 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ในอุตสาหกรรมที่ส่งผลต่อความมั่นคงของชาติซึ่งอุตสาหกรรมแร่หายากภายในประเทศเป็นอีกหนึ่งในอุตสาหกรรมที่อยู่ในเป้าหมายการลงทุนด้วยเช่นกัน
จะเห็นได้ว่าความสำคัญของแร่หายากทำให้ทรัพยากรดังกล่าวมีบทบาทอย่างมากในสงครามการค้าครั้งนี้ ซึ่งความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และการค้าในครั้งนี้ทำให้สหรัฐฯ ได้ตระหนักถึงการพึ่งพาทรัพยากรแร่หายากจากจีนที่มากจนเกินไป ทำให้สหรัฐฯ ต้องกลับมาสนับสนุนและกลับมาพึ่งพาแร่หายากในประเทศเพื่อให้มีทรัพยากรเพียงพอที่จะรองรับความต้องการจากอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเพื่อรักษาความมั่นคงภายในประเทศ อย่างไรก็ดีการพัฒนาอุตสาหกรรมแร่หายากคงไม่สามารถทำสำเร็จได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ทำให้เชื่อว่า บทบาทของแร่หายากจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือต่อรองระหว่างสองชาติมหาอำนาจไปอีกอย่างแน่นอน
ที่มา: Reuters, CNN, Global X, Goldman Sachs