
ในช่วงต้นเดือนเมษายน 2025 Trump ประกาศมาตรการภาษีตอบโต้ประเทศคู่ค้าทั่วโลก ซึ่งสร้างความปั่นป่วนให้กับตลาดหุ้นทั่วโลกอย่างมาก และต่อมา Trump ได้ประกาศเลื่อนการเก็บภาษีบางส่วนออกไป 90 วัน แต่ยังคงมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตราที่สูงถึง 145% ซึ่งราวกับว่าสหรัฐฯ ต้องการตัดความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีน
อย่างไรก็ดี Trump ได้ออกมาประกาศยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีหลายรายการจากทั่วโลก รวมถึงจากจีนในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดไม่คาดคิดว่า Trump จะกลับลำกับนโยบายการค้าอย่างรวดเร็ว เพราะ Trump เพิ่งจะประกาศขึ้นภาษีกับจีนได้เพียงไม่นาน โดยการเปลี่ยนทิศทางนโยบายของ Trump ในครั้งนี้ ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีฐานการผลิตในจีน อาทิ Apple และ Dell Technologies ฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน
โดยปัจจุบัน สหรัฐฯ นำเข้าสินค้าเทคโนโลยีจากจีนคิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 101.7 billion คิดเป็น 22% ของมูลค่าสินค้าทั้งหมดที่สหรัฐฯ นำเข้าจากจีน ซึ่งตัวเลขนี้ได้สะท้อนว่าสินค้าประเภทอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ถือเป็นสินค้าประเภทสำคัญต่อความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
ในบทความนี้ เราจะพูดถึง 3 สามเหตุผลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังของการตัดสินใจยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีจากจีนของ Trump ซึ่งก็คือ แรงกดดันจากบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ, ผลกระทบต่อผู้บริโภคในสหรัฐฯ, และโอกาสในการเปิดช่องทางการเจรจาทางการค้า
แรงกดดันจากบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ
แรงกดดันจากบริษัทเทคโนโลยีในสหรัฐฯ ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ Trump ต้องพิจารณานโยบายภาษีใหม่ หลังจากที่มีการประกาศเก็บภาษีนำเข้า บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอย่าง Apple ได้สูญเสียมูลค่าตลาด (Market Capitalization) ไปถึงประมาณ $640 billion นอกจากนี้ ราคาหุ้นของ Apple ยังปรับตัวลดลงอย่างมากถึง -20% ภายในระยะเวลาเพียง 3 วันทำการ หลังจากการประกาศนโยบายภาษีทั่วโลก ซึ่งเป็นการลดลงที่รุนแรงที่สุดในช่วงเวลาเดียวกันนับตั้งแต่ปี 2001 ส่งผลให้มูลค่าราคาตลาด (Market Capitalization) ของ Apple ลดลงจาก $3.3 trillion เหลือเพียง $2.92 trillion (ข้อมูล ณ วันที่ 17 เมษายน 2025)
นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ได้ชี้ให้เห็นว่า นโยบายภาษีทั่วโลกของ Trump เป็นสถานการณ์ที่ส่งผลเสียต่อทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบริษัทผู้ผลิต Hardware เช่น Apple, Dell Technologies และ HP Inc. ซึ่งพึ่งพาฐานการผลิตในต่างประเทศ โดยสินค้าส่วนใหญ่ที่จำหน่ายในสหรัฐฯ มักจะถูกประกอบในประเทศแถบเอเชียเป็นหลัก การคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ยังระบุว่า Apple อาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นประมาณ $33 billion ต่อปี ซึ่งคิดเป็น 26% ของกำไร ในขณะที่ Dell Technologies และ HP Inc. อาจสูญเสียรายได้สุทธิทั้งหมดที่คาดการณ์ไว้ในปี 2025
โดยความสัมพันธ์ระหว่าง Trump กับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ Trump ตัดสินใจประกาศยกเว้นภาษีดังกล่าว
อย่างไรก็ดี แม้ว่าการยกเว้นภาษีในครั้งนี้จะช่วยบรรเทาแรงกดดันให้กับบริษัทเทคโนโลยีได้บ้าง แต่ความจริงแล้วนักวิเคราะห์หลายสถาบันยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของ Trump โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เคยมีการประกาศและเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างรวดเร็วในช่วงก่อนหน้า ซึ่งสร้างความผันผวนให้กับตลาดเป็นอย่างมาก โดยมองว่าการตัดสินใจยกเว้นภาษีในครั้งนี้อาจเป็นเพียงมาตรการชั่วคราว และยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ มีข่าวรายงานจากทำเนียบขาว (White House) ระบุว่า การยกเว้นภาษีนี้เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว เพื่อให้บริษัทต่างๆ มีเวลาในการย้ายฐานการผลิตมายังสหรัฐฯ และรัฐบาลยังคงเน้นย้ำถึงความสำคัญของการลดการพึ่งพาจีนในการผลิตเทคโนโลยี
ผลกระทบต่อผู้บริโภคในสหรัฐฯ
การยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยี ยังช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจโดยตรงต่อผู้บริโภคในสหรัฐฯ โดยตลาดคาดการณ์ว่า หากไม่มีการยกเว้นภาษี ต้นทุนจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้นจะถูกผลักไปสู่ผู้บริโภค ทำให้ราคาสินค้าเทคโนโลยีสูงขึ้นมาก
หลังจากที่ Trump ประกาศขึ้นอัตราภาษีนำเข้าในวันที่ 2 เมษายน 2025 นักวิเคราะห์หลายสถาบันก็ได้ออกมาคาดการณ์ ภายใต้ระบบภาษีใหม่ Apple อาจต้องขึ้นราคา iPhone16 ราว +30% เพื่อชดเชยผลกระทบจากภาษีนำเข้าที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากจีนและอินเดียเป็นฐานการผลิตหลักของ Apple
และตลาดยังคาดการณ์ว่านโยบายการค้าที่ยังไม่แน่นอนนี้ อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อในสหรัฐฯ สูงขึ้นในระยะข้างหน้า โดยการที่ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นในวงกว้าง ก็อาจนำไปสู่ความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ และมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ และหากเกิดความไม่พอใจกับผู้บริโภคชาวอเมริกันก็จะกระทบกับฐานเสียงของ Trump และจะมีกระแสต่อต้านนโยบายนี้มากกว่าเดิม หลังจากเกิดเหตุการประท้วงขึ้นในหลายมลรัฐในสหรัฐฯ
โอกาสการเปิดช่องทางเจรจาทางการค้า
นอกเหนือจากแรงกดดันจากภาคธุรกิจและผลกระทบต่อผู้บริโภคแล้ว การยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีในครั้งนี้ยังถูกมองว่าเป็นการเปิดโอกาสสำหรับการเจรจาทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในอนาคต หลังจากที่ Trump ได้ยืนยันมาเป็นเวลาหลายเดือนว่าจะไม่มีการผ่อนปรนหรือข้อยกเว้นใดๆ
โดยล่าสุด รัฐบาลจีนได้แสดงท่าทีพร้อมสำหรับการเจรจาและเปิดเผยกับสื่อว่า การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่ผ่านมายังไม่คืบหน้าและมีการสะดุดหยุดกลางคันหลายรอบ แต่ทางการจีนก็ยังหวังที่จะเจรจากับทางสหรัฐฯ โดยได้เสนอ 4 เงื่อนไขสำคัญให้สหรัฐฯ พิจารณา ได้แก่ 1.) ต้องการให้สหรัฐฯ แสดงความเคารพจีนมากขึ้น และควบคุมหรือลดทอนความเห็นเชิงลบที่มีต่อจีน 2.) ต้องการความชัดเจนในจุดยืนของสหรัฐฯ ว่าต้องการมิตรหรือศัตรูกับจีน ไม่ว่าจะผ่านท่าทีของใครก็ตาม 3.) ต้องการให้สหรัฐฯ พิจารณาข้อจำกัดที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาของจีน และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับไต้หวัน 4.) ต้องการให้สหรัฐฯ แต่งตั้งบุคคลที่มีอำนาจในการประสานงานชัดเจนเพื่อให้การเจรจาการค้าระหว่างทั้งสองเดินหน้าได้ง่ายขึ้น
การยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีของ Trump ถือเป็นการตัดสินใจที่มีทั้งผลกระทบในเชิงบวกต่อตลาดหุ้นและโอกาสในการเติบโตของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ดีทั้ง Trump และบุคคลสำคัญในรัฐบาลสหรัฐฯ ยังคงระบุว่าการเก็บภาษีสินค้าเทคโนโลยีอาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ซึ่งนักลงทุนยังคงต้องติดตามความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวกับการดำเนินนโยบายภาษีของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด แต่การยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าเทคโนโลยีก็ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญซึ่งอาจตามมาด้วยการยกเว้นหรือยกเลิกภาษีสินค้าประเภทอื่นได้ในอนาคต
Source: Bloomberg, CNBC