
เมื่อคืนวันที่ 17 ก.ย. 2025 ที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ได้มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ โดยการตัดสินใจครั้งนี้ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Funds Rate) ปรับตัวลงมาอยู่ในกรอบ 4.00% – 4.25% ซึ่งนับเป็นระดับที่ต่ำที่สุดในรอบเกือบ 3 ปี และนับเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของนโยบายการเงินสหรัฐฯ หลังจากที่ได้คงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงมาอย่างยาวนานเพื่อต่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้อ
แม้ว่าการลดดอกเบี้ยครั้งนี้จะไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจ แต่ “รายละเอียด” ที่แฝงอยู่ในการประชุมและถ้อยแถลงของ Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) กลับส่งสัญญาณที่ซับซ้อนและสร้างความไม่แน่นอนให้กับตลาดการเงินทั่วโลก
บทความนี้จะพาผู้อ่านไปเจาะลึก 5 ประเด็นสำคัญ ที่สรุปได้จากการประชุมครั้งประวัติศาสตร์นี้ เพื่อทำความเข้าใจถึงแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงินของสหรัฐฯในอนาคต
1. เจาะลึก Dot Plot : แผนที่นำทางดอกเบี้ยในอนาคต
สิ่งที่นักวิเคราะห์และนักลงทุนทั่วโลกจับตามองมากที่สุด ไม่ใช่แค่การตัดสินใจลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ แต่คือ “Dot Plot” หรือแผนภาพคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของกรรมการ FOMC แต่ละคน ซึ่งเปรียบเสมือนแผนที่นำทางที่บอกใบ้ถึงทิศทางนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า
Dot Plot คืออะไร?
พูดง่ายๆ ก็คือเป็นกราฟที่แสดง “จุด” โดยแต่ละจุดเป็นตัวแทนความเห็นของกรรมการ FOMC หนึ่งท่าน (มีทั้งหมด 19 ท่าน) ว่า ณ สิ้นปีนั้นๆ อัตราดอกเบี้ยนโยบายควรจะอยู่ที่ระดับใด สิ่งสำคัญคือ Dot Plot ไม่ใช่คำมั่นสัญญา แต่เป็นเพียงการคาดการณ์ ณ เวลานั้นๆ ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามข้อมูลเศรษฐกิจที่จะเข้ามาในอนาคต อย่างไรก็ดี มันเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดในการอ่านใจคณะกรรมการ Fed
สัญญาณจาก Dot Plot ครั้งล่าสุด :
ในการประชุมครั้งนี้ Dot Plot ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับการผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยสรุปได้ดังนี้
ภายในสิ้นปี 2025: จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ซึ่งจะเกิดขึ้นในการประชุม 2 ครั้งสุดท้ายของปีในเดือนตุลาคมและธันวาคม
ในปี 2026: จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง
ในปี 2027: จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 1 ครั้ง
หากเป็นไปตามแผนการนี้ อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ จะค่อยๆ ลดลงมาสู่ระดับประมาณ 3% ภายในปี 2027 ซึ่งเป็นระดับที่คณะกรรมการ Fed มองว่าเป็น “ระดับที่เป็นกลาง” (Neutral Rate)
2. ปฏิกิริยาตลาดที่สับสนของตลาดต่อผลการประชุม Fed
โดยปกติแล้ว การลดอัตราดอกเบี้ยมักจะเป็นข่าวดีสำหรับตลาดหุ้น เพราะต้นทุนทางการเงินของบริษัทต่างๆ จะลดลงและกระตุ้นการลงทุน แต่ปฏิกิริยาของตลาดในครั้งนี้กลับเต็มไปด้วยความสับสนและไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งสะท้อนถึงความไม่แน่นอนที่ซ่อนอยู่ในถ้อยแถลงของประธาน Fed โดยในคืนวันที่ประชุม Fed
ตลาดหุ้น: ในช่วงแรกหลังการประกาศ ดัชนี Dow Jones Industrial Average ปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็ค่อยๆ อ่อนแรงลงก่อนจะปิดบวกไปได้ 260 จุด ในทางกลับกัน ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ซึ่งประกอบด้วยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่อ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ กลับปิดตลาดในแดนลบเล็กน้อย
ตลาดพันธบัตร: ความน่าสนใจอยู่ที่ตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งอัตราผลตอบแทน (Yield) พันธบัตรระยะสั้นปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นไปตามการลดดอกเบี้ยนโยบาย แต่ในทางตรงกันข้าม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวกลับปรับตัวสูงขึ้น
ปรากฏการณ์ที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นและระยะยาวเคลื่อนไหวสวนทางกันนี้ ถือเป็นสัญญาณที่น่ากังวลเล็กน้อย เพราะมันอาจบ่งชี้ว่านักลงทุนในตลาดกังวลเกี่ยวกับ “เงินเฟ้อในระยะยาว” โดยนักลงทุนอาจตีความว่าการที่ Fed เริ่มลดดอกเบี้ยเร็วเกินไป อาจทำให้เงินเฟ้อที่กำลังจะสงบลง กลับมาเร่งตัวขึ้นอีกครั้งในอนาคต ซึ่งจะบีบให้ Fed ต้องกลับไปขึ้นดอกเบี้ยแรงๆ อีกในภายหลัง
สถานการณ์เช่นนี้สร้างความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจที่เรียกว่า “Stagflation” ซึ่งเป็นฝันร้ายของนักเศรษฐศาสตร์ เนื่องจาก Stagflation คือภาวะที่เศรษฐกิจ ชะงักงัน (Stagnation) หรือเติบโตต่ำ แต่ในขณะเดียวกัน เงินเฟ้อ (Inflation) กลับยังคงตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งการที่ตลาดพันธบัตรส่งสัญญาณเช่นนี้ จึงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทาย Fed ในการดำเนินนโยบายเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะดังกล่าว
3. ท่าทีที่ก้ำกึ่ง: ระหว่าง Dovish และ Hawkish
ทั้งนี้ความสับสนของตลาดส่วนหนึ่งมาจากการสื่อสารของ Jerome Powell ประธาน Fed ที่มีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างการผ่อนคลาย (Dovish) และการเข้มงวด (Hawkish)
โดย Powell อธิบายว่าการลดดอกเบี้ยครั้งนี้เป็นการตัดสินใจเพื่อ “บริหารจัดการความเสี่ยง” (Risk Management) ไม่ใช่การตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจที่กำลังจะเข้าสู่วิกฤต ซึ่งหมายความว่า Fed มองว่าเศรษฐกิจยังแข็งแกร่งอยู่ แต่ต้องการลดดอกเบี้ยเพื่อเป็น “กันชน” หรือ “ประกัน” ป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และเป็นการดำเนินการเชิงรุกมากกว่าเชิงรับ
ส่วนผสมของ Dovish และ Hawkish:
ท่าทีผ่อนคลาย (Dovish): คือการส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วถึง 2 ครั้งในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ (ตุลาคมและธันวาคม) ถือเป็นท่าทีที่ผ่อนคลายอย่างมาก
ท่าทีแข็งกร้าว (Hawkish): แต่ในขณะเดียวกัน Dot Plot กลับคาดการณ์ว่าจะลดดอกเบี้ยเพียงปีละ 1 ครั้งในปี 2026 และ 2027 และจะไม่ลดเลยในปี 2028 ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณถึงความระมัดระวังอย่างสูงในระยะยาว
การผสมผสานท่าทีแบบ “รีบผ่อนคลายในระยะสั้น แต่จะกลับมาเข้มงวดในระยะยาว” นี้ สร้างความไม่สบายใจให้กับตลาด เพราะมันขาดความชัดเจนและทำให้ยากต่อการคาดการณ์ทิศทางนโยบายในอนาคต นักลงทุนจึงมีความรู้สึกไม่แน่ใจว่าแท้จริงแล้ว Fed กำลังกังวลเรื่องเศรษฐกิจชะลอตัว หรือกังวลเรื่องเงินเฟ้อมากกว่ากันแน่
4. การเมืองในการประชุม Fed
การประชุมครั้งนี้ถูกจับตามองเป็นพิเศษในมิติทางการเมือง เนื่องจากเป็นการประชุมครั้งแรกของ Stephen Miran กรรมการคนใหม่ที่เป็นคนสนิทของ ปธน.Trump ที่สาบานตนเข้ารับตำแหน่งก่อนการประชุม Fed เพียงแค่วันเดียว ซึ่งการแต่งตั้ง Miran ในครั้งนี้ถูกมองว่าอาจมีนัยยะทางการเมืองและตลาดก็เฝ้าระวังว่าอิทธิพลทางการเมืองจะเข้ามาแทรกแซงความเป็นอิสระของธนาคารกลางหรือไม่
อย่างไรก็ตาม Jerome Powell ได้สยบความกังวลนี้อย่างชัดเจนในระหว่างการแถลงข่าว เมื่อถูกถามถึงการแทรกแซงการทำงานของคณะกรรมการ Fed โดยเขาได้กล่าวถ้อยคำที่หนักแน่นว่า:
“วิธีเดียวที่กรรมการคนใดจะสามารถเปลี่ยนแปลงทิศทางการตัดสินใจได้ คือต้องสามารถโน้มน้าวใจได้อย่างเหลือเชื่อ ซึ่งในบริบทการทำงานของเรา วิธีเดียวที่จะทำเช่นนั้นได้ คือการใช้เหตุผลที่หนักแน่นที่อ้างอิงจากข้อมูลและความเข้าใจในเชิงลึกเกี่ยวกับเศรษฐกิจ นั่นคือสิ่งเดียวที่สำคัญ และเป็นแนวทางที่เรายึดมั่นต่อไป”
คำกล่าวนี้เป็นการตอกย้ำหลักการทำงานที่สำคัญที่สุดของ Fed นั่นคือ ความเป็นอิสระ (Independence) และ การยึดถือข้อมูลเป็นหลัก (Data-Dependent) รวมทั้งยังเป็นการส่งสารที่ชัดเจนของ Powell ต่อนักลงทุนและสาธารณชนว่า การตัดสินใจของ Fed จะอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลทางเศรษฐกิจที่จับต้องได้ ไม่ใช่มาจากแรงกดดันทางการเมือง
5. ความเห็นที่แตกต่างของกรรมการ Fed
แม้ว่ามติการลดดอกเบี้ย 0.25% จะผ่านไปได้ แต่ก็มีเบื้องหลังที่สะท้อนให้เห็นถึงความเห็นที่แตกต่างกันอย่างมากภายในคณะกรรมการ ซึ่งเป็นสัญญาณของเส้นทางการดำเนินนโยบายที่ท้าทายในอนาคต
เสียงโหวตสวนมติ : Stephen Miran เป็นกรรมการเพียงคนเดียวที่โหวตสวนมติ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เขาไม่ได้ต้องการให้คงดอกเบี้ย แต่ต้องการให้ลดดอกเบี้ยมากถึง 0.50% ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีกรรมการบางส่วนที่มองว่า Fed ควรจะดำเนินนโยบายผ่อนคลายที่รวดเร็วและแรงกว่านี้
รอยร้าวใน Dot Plot : ความไม่เป็นเอกฉันท์ที่ชัดเจนที่สุดปรากฏอยู่ใน Dot Plot โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคาดการณ์จำนวนการลดดอกเบี้ยในปีนี้ มีความแตกต่างของความเห็นของคณะกรรมการทั้งการไม่ลดดอกเบี้ยอีก ลดดอกเบี้ยครั้งเดียวและลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ความเห็นที่แตกต่างกันขนาดนี้บ่งชี้ว่าการตัดสินใจในอนาคตจะมีความเปราะบางอย่างมาก หากข้อมูลเศรษฐกิจในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้กรรมการเพียง 1-2 คนเปลี่ยนใจ และส่งผลให้ทิศทางนโยบายทั้งหมดพลิกกลับได้ทันที ความไม่แน่นอนนี้จะทำให้ตลาดการเงินมีความผันผวนสูงต่อไปในระยะข้างหน้า
บทสรุปและทิศทางในอนาคต
การตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในครั้งนี้ แม้จะเป็นไปตามคาด แต่ก็ได้เปิดเผยมิติที่ซับซ้อนและท้าทายยิ่งกว่าเดิม Fed กำลังเดินอยู่บนเส้นด้ายที่บางเฉียบระหว่างการบริหารความเสี่ยงเพื่อป้องกันเศรษฐกิจชะลอตัว กับการเฝ้าระวังไม่ให้เปลวไฟของเงินเฟ้อกลับมาลุกโชนอีกครั้ง
โดยสิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องไม่ลืมก็คือ ในปีหน้าก็จะมีการหมุนเวียนเปลี่ยนกรรมการ Fed ที่มีสิทธิในการโหวตเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยและกรรมการที่ไม่มีสิทธิโหวตเหมือนเช่นทุกปี และ Jerome Powell ประธาน Fed จะก้าวลงจากตำแหน่งในเดือน พฤษภาคม 2026
ดังนั้น การคาดการณ์ทิศทางของ Fed ในระยะยาวหลังจากนี้อาจเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก โดยการติดตามตัวเลขเศรษฐกิจทั้งการจ้างงานและตัวเลขเงินเฟ้อที่ออกมาในแต่ละเดือนอย่างใกล้ชิด อาจจะสามารถทำให้คาดการณ์ทิศทางของดอกเบี้ยในอนาคตได้มากกว่าการเฝ้ามองทิศทางของ Fed และวิเคราะห์จากผลการประชุมที่ออกมาแต่เพียงอย่างเดียว
ที่มา: FOMC, Bloomberg, CNBC