
การประชุมคณะกรรมการกลางชุดที่ 20 ครั้งที่ 4 (4th Plenum) ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20–23 ต.ค. 2025 ณ กรุงปักกิ่ง ได้สิ้นสุดลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยการประชุมในครั้งนี้ถือเป็นเวทีสำคัญช่วงท้ายปีของจีนที่ทั่วโลกจับตามอง โดยเฉพาะนักลงทุนที่ต้องการประเมินทิศทางเศรษฐกิจจีนในระยะข้างหน้า เนื่องจากการประชุมในปีนี้ไม่เพียงแต่เป็นการสรุปผลการดำเนินงานของรัฐบาลในรอบปีเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 15 (ใช้ในปี 2026–2030) ซึ่งจะเป็นกรอบนโยบายหลักที่จะกำหนดทิศทางในอนาคตของจีน ทั้งในด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และบทบาทในเวทีโลก
โดยบทความนี้จะสรุปสาระสำคัญจากการประชุม 4th Plenum เพื่อให้เห็นว่าจีนกำลังวางแผนขับเคลื่อนประเทศไปในทิศทางใด และนักลงทุนควรเตรียมตัวอย่างไรต่อหลังจากนี้
สาระสำคัญจากการประชุม: จีนกำลังวางแผนอะไรอยู่?
ตามรายงานการประชุม 4th Plenum ที่รัฐบาลจีนประกาศอย่างเป็นทางการ พบว่า หนึ่งในหัวใจหลักของการประชุมครั้งนี้คือการเสนอและผ่านร่าง “ข้อเสนอเกี่ยวกับการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 15 (ใช้ในปี 2026–2030)” ซึ่งครอบคลุมหลากหลายด้าน ได้แก่ การเติบโตทางเศรษฐกิจ การสร้างระบบอุตสาหกรรมสมัยใหม่ การเพิ่มขีดความสามารถด้านเทคโนโลยี และการรักษาเสถียรภาพด้านความมั่นคงของประเทศ
รายละเอียดหัวข้อและแนวทางการปฏิบัติที่สำคัญที่มีการนำเสนอให้แผนพัฒนาเศรษฐกิจจีน

ข้อเสนอเหล่านี้ไม่ได้มาจากภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว แต่ยังสะท้อนความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา รวมถึงเสียงจากประชาชนทั่วไป ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพยายามของรัฐบาลจีนในการเปิดรับมุมมองที่หลากหลายมากขึ้น เพื่อวางแผนพัฒนาประเทศอย่างรอบด้านและยั่งยืน
มุมมองด้านเศรษฐกิจและการค้าของรัฐบาลจีน
นอกจากการเสนอแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะ 5 ปี ฉบับที่ 15 (ปี 2026–2030) แล้ว ในการประชุม 4th Plenum รัฐบาลจีนยังได้เผยถึงมุมมองเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจและการค้าของจีน โดยในปีนี้รัฐบาลจีนยังคงยืนยันเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจไว้ที่ประมาณ 5% แสดงถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของเศรษฐกิจจีน แม้ว่านักวิเคราะห์หลายแห่งจะเริ่มตั้งข้อสังเกตว่าอาจไม่บรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
อย่างไรก็ตาม จีนได้ปรับคาดการณ์การเติบโตเฉลี่ยต่อปีในทศวรรษหน้าเหลือ 4.5% จากเดิมที่เคยตั้งไว้ 5.5% ซึ่งแม้จะลดลง แต่ยังถือเป็นระดับที่สูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศ และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว จีนวางแผนลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น Semiconductor, AI และ Smart Manufacturing เพื่อสร้าง “พลังการผลิตคุณภาพใหม่” ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจในยุคถัดไป พร้อมทั้งรักษาสัดส่วนภาคการผลิตให้อยู่ในระดับเหมาะสม
ในด้านการค้า แม้จีนจะเผชิญแรงกดดันจากสหรัฐฯ และประเทศอื่น ๆ ที่เริ่มขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน แต่จีนก็ยังคงยึดแนวทางการเติบโตที่ขับเคลื่อนด้วยการผลิตและการส่งออก โดยเน้นส่งออกสินค้าที่มีมูลค่าสูงและคุณภาพดีมากขึ้นเพื่อลดผลกระทบจากแรงกดดันภายนอก ขณะเดียวกัน รัฐบาลจีนก็พยายามเสริมสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน ด้วยการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศ ขจัดอุปสรรคที่ขัดขวางการสร้าง “ตลาดแห่งชาติแบบรวมศูนย์” และเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อปรับสมดุลจากการพึ่งพาการส่งออกไปสู่การขับเคลื่อนด้วยอุปสงค์ภายในแทน
ทั้งนี้ แม้จีนจะพยายามหาแนวทางลดผลกระทบจากความไม่แน่นอนด้านการค้า แต่จีนก็ไม่ปิดโอกาสในการเจรจากับประเทศต่างๆ เพื่อคลี่คลายความขัดแย้ง โดยล่าสุดเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนได้กล่าวว่า รองนายกรัฐมนตรี He Lifeng จะเดินทางไปมาเลเซียเพื่อเจรจากับสหรัฐฯ ในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ขณะที่ ในวันที่ 30 ต.ค. 2025 ปธน. Xi Jinping จะนัดเจอกับปธน. Donald Trump นอกรอบระหว่างการประชุม APEC ที่เกาหลีใต้ ซึ่งอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของทิศทางการค้าระหว่างสองประเทศ
โดยภาพรวม การประชุม 4th Plenum ในครั้งนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของรัฐบาลจีนในการวางรากฐานเศรษฐกิจให้แข็งแรงและยั่งยืนในระยะยาว ผ่านการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ การขยายตลาดภายใน และการเปิดรับความร่วมมือจากต่างประเทศอย่างมีชั้นเชิง ซึ่งนักวิเคราะห์หลายแห่งเชื่อว่า ด้วยแนวทางการบริหารที่ชัดเจนและครอบคลุมในหลายมิติในครั้งนี้ จะทำให้จีนมีศักยภาพการปรับตัวเพื่อเติบโตอย่างมั่นคงในโลกที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ซึ่งถือเป็นสัญญาณบวกที่นักลงทุนควรจับตามองอย่างใกล้ชิด
อย่างไรก็ดีรายละเอียดของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 15 ที่ออกมายังคงอยู่ในขั้นต้นเพียงเท่านั้น เนื่องจากรายละเอียดฉบับเต็ม จะถูกประกาศอย่างเป็นทางการในการประชุม “สองสภา” (Two Sessions) ในเดือน มี.ค. 2026 แต่สัญญาณที่ออกมาในครั้งนี้ก็ถือเป็นข้อมูลสำคัญที่บ่งชี้ว่าอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภายในประเทศ ยังเป็นอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะได้รับผลประโยชน์จากแผนพัฒนาดังกล่าวตลอดระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้หุ้นกลุ่มจะเป็นที่จับตาของนักลงทุนทั่วโลก
ที่มา: Xinhua, Bloomberg, CNBC, CPPCC