
เข้าสู่ช่วงการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ โดยในสัปดาห์นี้จะเป็นสัปดาห์ที่หุ้น 2 ตัวในกลุ่ม Magnificent 7 จะประเดิมประกาศผลการดำเนินงานของไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ Tesla และ Alphabet
การประกาศผลการดำเนินงานของกลุ่ม Magnificent 7 ถือว่าได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นหุ้นกลุ่มที่มีผลการดำเนินงานแข็งแกร่งในช่วงที่ผ่านมา และยังเป็นผู้นำทางด้านนวัตกรรมสำคัญต่างๆ ส่งผลให้หุ้นเหล่านี้กลายเป็นกำลังหลักที่ผลักดันให้ดัชนี S&P 500 และ Nasdaq 100 สร้างผลตอบแทนได้โดดเด่นและเหนือกว่าดัชนีหุ้นส่วนใหญ่มาตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ นักลงทุนจึงคาดหวังว่าบริษัทเหล่านี้จะยังสามารถรักษา Momentum การเติบโตของผลการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง
Tesla งบต่ำคาด แต่หุ้นบวกหลังปิดตลาด หลัง Musk เผยว่าจะใช้เวลากับ DOGE น้อยลง
เป็นที่ทราบกันดีว่านับตั้งแต่เข้าสู่ปี 2025 Tesla เผชิญกับปัญหาหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นยอดขายในยุโรปที่ลดลง การชะลอตัวของยอดส่งออกรถยนต์จากจีน รวมถึงการเรียกคืนรถยนต์รุ่น Cybertruck จากปัญหาการประกอบ นอกจากนี้ Elon Musk CEO ของ Tesla ที่เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาล (DOGE) ก็ไม่สามารถบริหารจัดการธุรกิจทั้งหมดได้อย่างเต็มที่
จากเหตุการณ์เหล่านี้ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานไตรมาสล่าสุดของ Tesla มีรายได้อยู่ที่ $19.34 billion ต่ำกว่าคาดที่ $21.11 billion ปรับลง -9% YoY โดยรายได้จากธุรกิจยานยนต์อยู่ที่ $14 billion ปรับลงถึง -20% ขณะที่ด้านกำไรต่อหุ้น (adjusted) อยู่ที่ $0.27 ต่ำกว่าคาดที่ $0.39 โดยกำไรสุทธิอยู่ที่เพียง $409 million ปรับลงถึง -71% YoY โดย Tesla ระบุว่ารายได้ที่ปรับลงมีส่วนจากการปรับปรุงสายการผลิตที่โรงงาน 4 แห่งเพื่อยกระดับการผลิตรถยนต์รุ่นยอดนิยมอย่าง Model Y SUV รวมถึงการปรับลดราคารถยนต์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้และกำไร
แม้ว่าผลการดำเนินงานจะออกมาแย่กว่าที่คาดและน่าผิดหวังในรอบหลายปี แต่ Musk เองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจต่อสถานการณ์ในปัจจุบันของบริษัท โดย Musk ได้ออกมาเปิดเผยกับผู้ถือหุ้นว่าเตรียมลดบทบาทในกระทรวง DOGE โดยจะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไปเพื่อทุ่มเทเวลาให้กับ Tesla มากขึ้น ซึ่ง Musk นั้นได้ออกมายอมรับกับผู้ถือหุ้นในทำนองเดียวกันกับที่เคยให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Fox Business เอาไว้ว่าการบริหารกระทรวง DOGE และ Tesla ในเวลาเดียวกันนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ท้าทาย
นอกจากนี้ Musk เองยังเชื่อว่านวัตกรรมที่ Tesla กำลังพัฒนาอยู่โดยเฉพาะรถยนต์ไร้คนขับ และนวัตกรรมแท็กซี่ไร้คนขับอย่าง Robotaxi จะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ Tesla กลับมาเติบโตได้ ซึ่งล่าสุด Tesla เริ่มทำการทดสอบบริการแท็กซี่ไร้คนขับ กับพนักงานที่ทำงานใน Austin เมืองหลวงของรัฐ Texas และแถบเขตอ่าว San Francisco ซึ่งถือเป็นการทดสอบใช้จริง ก่อนที่จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงฤดูร้อนปี 2025 นี้
ผลการดำเนินงาน Alphabet ดีกว่าคาด แม้ว่ารายได้จากธุรกิจ Cloud โตต่ำกว่าที่ตลาดคาด
Alphabet เป็นอีกบริษัทที่นักลงทุนเฝ้ารอผลประกอบการอย่างใกล้ชิด เนื่องจากยังคงมีปัจจัยที่นักลงทุนกังวลมาตั้งแต่ต้นปี นั่นคือ การเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายการลงทุน (CapEx) เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีทางด้าน AI ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่ง Sundar Pichai CEO ของ Alphabet ได้ออกมาเผยในการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ปีที่แล้วว่าบริษัทคาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายการลงทุนในปี 2025 สูงถึง $75 billion ซึ่งมากกว่าที่ตลาดคาดเอาไว้ที่ $59.73 billion
แต่นักลงทุนมีท่าทีที่คลายความกังวลมากขึ้นภายหลังจาก Alphabet รายงานผลการดำเนินงานออกมา โดยในไตรมาส 1 Alphabet มีรายได้อยู่ที่ $90.23 billion หรือ +12% YoY มากกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ $89.12 billion และมีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $2.81 หรือ +49% YoY ดีกว่าที่ตลาดคาดที่ $2.01 สำหรับผลการดำเนินงานของแต่ละธุรกิจย่อย ธุรกิจค้นหาและโฆษณายังเติบโตได้ดีที่ +9.8% YoY และ +8.5% YoY ตามลำดับ แม้บริษัทจะเผชิญการแข่งขันด้าน AI ที่รุนแรงมากขึ้นก็ตาม ซึ่ง Alphabet ระบุว่า ไตรมาสที่ผ่านมามีการลงทุนใน AI ราว $17.2 billion โดยมีการเพิ่มการใช้จ่ายในเซิร์ฟเวอร์และศูนย์ข้อมูล ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ $17.1 billion ขณะที่รายได้ของธุรกิจ Cloud แม้จะเติบโตน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาด แต่นับว่ายังเติบโตได้ในระดับสูง โดยมีรายได้เพิ่มขึ้น +28% YoY อีกทั้ง ยังมีอัตรากำไรที่ดีขึ้นอยู่ที่ 17.8% เทียบกับปีที่แล้วที่ 9.4%
ทั้งนี้ Pichai ออกมาเปิดเผยว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 นี้เติบโตอย่างเป็นที่น่าพึงพอใจในทุกธุรกิจ และบริษัทยังได้มีการเปิดตัว Gemini 2.5 ซึ่งเป็น Model AI ที่ฉลาดที่สุดและมีประสิทธิภาพที่โดดเด่น ซึ่งจะเป็นรากฐานของการพัฒนานวัตกรรมต่างๆ ในอนาคตได้ ขณะที่ Search Engine อย่าง Google ก็ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งโดยมีผู้ใช้งานและได้รับการเพิ่มประสิทธิภาพจากการเพิ่ม Feature AI Overview นอกจากนี้ บริษัทยังประกาศซื้อหุ้นคืนมูลค่า $70 billion และจ่ายเงินปันผล $2.4 billion อีกด้วย
สำหรับผลการดำเนินงานของหุ้น Magnificent 7 สองตัวแรก แม้จะมีปัจจัยบางอย่างที่กดดันและสร้างความกังวลต่อนักลงทุนอยู่บ้าง แต่ทั้ง Tesla และ Alphabet ก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการรักษา Momentum การเติบโตของธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจและตลาดการเงินที่ยังคงท้าทายในปีนี้
อย่างไรก็ดี ในสัปดาห์หน้าจะเป็นช่วงที่บริษัทจดทะเบียนรายงานผลประกอบการในไตรมาส 1 มากที่สุด โดยนักลงทุนต่างจับตามอง 4 บริษัทในกลุ่ม Magnificent 7 ที่เหลือ ได้แก่ Meta Platforms และ Microsoft ในวันที่ 30 เม.ย. และ Amazon กับ Apple ในวันที่ 1 พ.ค.
ที่มา: Bloomberg, Company Data