
ในช่วงที่ผ่านมา หลายเสียงเริ่มตั้งคำถามถึงอนาคตของกลุ่ม “Magnificent Seven” หรือหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ได้แก่ Nvidia, Microsoft, Apple, Alphabet, Amazon, Meta และ Tesla ว่าจะยังสามารถเติบโตต่อไปได้หรือไม่ หลังจากในช่วงต้นปีนี้ราคาหุ้นหลายตัวในกลุ่ม Mag7 สร้างผลตอบแทนได้ไม่ดีนัก แต่แล้วในท้ายที่สุดช่วงเดือนกันยายนหุ้นในกลุ่ม Mag7 ทุกตัวก็สามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้สำเร็จ โดยส่วนใหญ่หนุนมาจากธีมการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับ AI
ซึ่งการเคลื่อนไหวล่าสุดของแต่ละบริษัทสะท้อนถึงแนวโน้มการเติบโตที่ยังแข็งแกร่ง ด้วยการเดินหน้าลงทุนเชิงกลยุทธ์ในเทคโนโลยีแห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็น AI, Cloud, Hardware หรือโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ซึ่งล้วนเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจโลกยุคใหม่ และอาจเป็นแรงผลักดันให้บริษัทเหล่านี้เติบโตต่อไปได้อย่างแข็งแกร่งในระยะยาว บทความนี้จึงชวนมาสำรวจ กลยุทธ์การลงทุนล่าสุดของแต่ละบริษัทในกลุ่ม Magnificent Seven กัน
Nvidia เดินหน้าสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ร่วมกับ OpenAI
Nvidia ประกาศลงทุนสูงถึง $100 billion ร่วมกับ OpenAI เพื่อสร้าง Data Center ขนาดใหญ่ที่ใช้ชิปประมวลผล AI ของ Nvidia เป็นหลัก โดยโครงการนี้จะใช้พลังงานไฟฟ้าสูงถึง 10 กิกะวัตต์
ซึ่งเทียบเท่ากับการ์ดจอประมาณ 4-5 ล้านตัว หรือจำนวนทั้งหมดที่ Nvidia จะส่งมอบในปีนี้ ซึ่งมากกว่าปีที่แล้วถึงสองเท่า การส่งมอบและติดตั้งระบบจะเริ่มในปี 2026 โดยเงินลงทุนจะทยอยจ่ายตามความคืบหน้า เริ่มต้นที่ $10 billion เมื่อมีการลงนามในสัญญา และเพิ่มขึ้นตามจำนวนกำลังประมวลผลที่ติดตั้งได้ในแต่ละกิกะวัตต์ โดย Nvidia จะได้รับหุ้นของ OpenAI เป็นการตอบแทน สะท้อนถึงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระยะยาวระหว่างสองบริษัท
ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของเครื่องมือ AI เช่น ChatGPT ซึ่งต้องอาศัยพลังการประมวลผลมหาศาลเพื่อรองรับการใช้งานทั่วโลก นอกจากจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Nvidia และ OpenAI ในการแข่งขันระดับโลกแล้ว ยังถือเป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยี AI ในอนาคต และเป็นแรงผลักดันต่อเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจหลักของนวัตกรรม การผลิต และการให้บริการในหลากหลายอุตสาหกรรม
Microsoft เดินหน้าลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI และ Cloud ต่อเนื่อง
Microsoft ประกาศลงทุนด้าน AI และ Cloud ครั้งใหญ่ ด้วยงบ CapEx ไตรมาสถัดไปกว่า
$30 billion เพิ่มขึ้น 24% จากไตรมาสก่อน โดยเกือบครึ่งของงบจะใช้จัดซื้อ CPU และ GPU สำหรับงาน AI ขนาดใหญ่ โดยรายได้ไตรมาสล่าสุดยังคงออกมาเติบโตแข็งแกร่ง โดยมีรายได้รวม
$76.4 billion เพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อน และรายได้จาก Azure และ Intelligent Cloud เติบโต 39% และ 26% ตามลำดับ
Microsoft ยังเดินหน้าสร้าง AI Data Center มูลค่า $7.3 billion ในรัฐ Wisconsin ซึ่งจะกลายเป็นหนึ่งใน AI Supercomputer ที่ทรงพลังที่สุดในโลก พร้อมลงทุนด้านพลังงานสะอาดและขยายโครงสร้างพื้นฐานในสหราชอาณาจักร และ เนเธอร์แลนด์ เพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันยังคงตอกย้ำความร่วมมือกับ OpenAI ซึ่งปรับโครงสร้างเป็น Public Benefit Corporation (PBC) โดยยังอยู่ภายใต้การกำกับขององค์กรไม่แสวงหากำไร การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงเป็นก้าวสำคัญในการวางทิศทางธุรกิจและการลงทุนระยะยาว สะท้อนถึงการผสานเป้าหมายเชิงพาณิชย์กับประโยชน์สาธารณะ ซึ่งกำลังกลายเป็นรากฐานสำคัญในการแข่งขันด้าน AI ระดับโลก
Apple เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ พร้อมฟีเจอร์ AI และดีไซน์ใหม่
Apple ได้รับกระแสตอบรับอย่างแข็งแกร่งจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ทั้ง iPhone 17 Pro, Pro Max และ iPhone Air ซึ่งมีการปรับดีไซน์ครั้งใหญ่ในรอบหลายปี โดยเฉพาะ iPhone Air รุ่นราคากลางที่ 999 ดอลลาร์ ได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้บริโภค ส่งผลให้เกิดปรากฏการณ์ต่อคิวยาวเหยียดตามร้าน Apple Store ทั่วโลก ขณะที่ยอดสั่งจองล่วงหน้าในตลาดสำคัญอย่างจีนก็สูงเช่นกัน นักวิเคราะห์จาก Bank of America ระบุว่าระยะเวลาการรอจัดส่ง iPhone 17 ยาวนานกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนถึงความต้องการที่แข็งแกร่งในช่วงเริ่มต้นวางจำหน่าย
แม้ก่อนหน้านี้ Apple จะถูกมองว่าตามหลังคู่แข่งในด้านการลงทุน AI แต่ผลิตภัณฑ์ใหม่หลายรุ่นเริ่มผนวกฟีเจอร์ AI เข้ามามากขึ้น เช่น AirPods Pro 3 ที่สามารถแปลภาษาพูดได้อัตโนมัติ จากการสัมภาษณ์ของ Bloomberg พบว่ากลุ่มผู้ใช้งานระดับสูงและ influencer ให้ความสนใจรุ่น Pro และ
Pro Max มากที่สุด เนื่องจากต้องการกล้องและแบตเตอรี่ที่ดีขึ้น ขณะที่รุ่น Air และรุ่นธรรมดาได้รับความสนใจน้อยกว่า ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการเลือกซื้อที่เน้นประสบการณ์การใช้งานมากกว่าราคา
Alphabet ไม่ต้องแยกธุรกิจ Chrome และโมเดลสร้างภาพใน Gemini สุดร้อนแรง
ผลการตัดสินคดีผูกขาดของ Google ออกมาเบากว่าที่คาด โดยศาลปฏิเสธข้อเสนอของกระทรวงยุติธรรมที่ต้องการให้ Google ขาย Chrome และ Android นอกจากนี้ ยังอนุญาตให้จ่ายเงินให้ Apple เพื่อให้ Google Search เป็นค่าเริ่มต้นได้ดังเดิม หากไม่ผูกขาดเป็นตัวเลือกเดียว
นอกจากนี้ ศาลยังสั่งให้ Google เปิดเผยข้อมูลการค้นหาบางส่วนแก่คู่แข่งภายใต้เงื่อนไขทางการค้า เพื่อส่งเสริมการแข่งขันที่เป็นธรรมในตลาดดิจิทัล แม้คำตัดสินจะไม่รุนแรงเท่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ แต่ถือเป็นก้าวสำคัญในการควบคุมอำนาจของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี โดยทั้งกระทรวงยุติธรรมและ Google ต่างแสดงความพอใจต่อผลการตัดสิน ซึ่งส่งผลให้มูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หนุนให้บริษัทมีมูลค่าขึ้นไปแตะที่ระดับ $3 trillion ได้ในที่สุด
นอกจากนี้ โมเดล AI Gemini ของ Google ซึ่งตอนแรกดูเหมือนจะตามหลัง ChatGPT ของ OpenAI แต่ล่าสุดหลังจาก Gemini เปิดตัวโมเดล Nano Banana ที่ใช้ในการสร้างภาพและกำลังเป็นไวรัลใน Social Media ทั่วโลกส่งผลให้ Gemini สามารถแซงหน้า ChatGPT ขึ้นมาเป็นแอปฟรีที่มียอดดาวน์โหลดสูงสุดใน App Store ของ Apple ในสหรัฐฯได้สำเร็จ
Amazon เดินหน้าขยายบทบาทใน AI ผ่าน AWS และการลงทุนใน Anthropic
ธุรกิจคลาวด์ของ Amazon หรือ AWS ยังคงเป็นเสาหลักสำคัญที่สร้างรายได้และกำไรให้บริษัท โดยในไตรมาสล่าสุด AWS ทำรายได้เติบโต ราว 18% สะท้อนถึงความต้องการใช้งานโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและบริการ AI/ML ที่ขยายตัวต่อเนื่องทั่วโลก จุดแข็งของ AWS ไม่ได้อยู่เพียงส่วนแบ่งตลาดที่มากที่สุด แต่รวมถึงเทคโนโลยีชิปประมวลผลพัฒนาขึ้นเอง (Trainium, Inferentia) ที่ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล AI ขนาดใหญ่ ทำให้ AWS เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการรักษาการเติบโตของ Amazon
อีกแรงหนุนคือการลงทุนเชิงกลยุทธ์ใน Anthropic สตาร์ทอัพ AI ชั้นนำ เจ้าของ Chatbot อย่าง Claude โดย Amazon อัดเงินหลายพันล้านดอลลาร์และให้ AWS เป็นผู้ให้บริการคลาวด์หลักสำหรับฝึกและรันโมเดล AI ของ Anthropic ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้จากการใช้งาน AWS และเปิดทางให้ Amazon เข้าถึงเทคโนโลยี AI ระดับแนวหน้า การลงทุนครั้งนี้จึงเป็นทั้งโอกาสสร้างรายได้และวางรากฐานให้ Amazon มีบทบาทสำคัญในสมรภูมิ AI ที่กำลังเติบโต
Meta เติบโตแข็งแกร่งจากรายได้โฆษณาและการนำ AI มาใช้ในแพลตฟอร์ม
ในไตรมาสล่าสุด ราคาหุ้น Meta ได้แรงหนุนจากผลประกอบการที่ออกมาแข็งแกร่งกว่าคาด โดยรายได้รวมอยู่ที่ราว $40.69 billion ขณะที่รายได้จากโฆษณาสูงถึง $39.9 billion เพิ่มขึ้น +18.7% YoY การเติบโตดังกล่าวมาจากทั้งจำนวนโฆษณาที่แสดงมากขึ้นและราคาต่อโฆษณาที่ปรับตัวสูงขึ้น สะท้อนอุปสงค์โฆษณาที่แข็งแรงและความสามารถในการสร้างมูลค่าเพิ่มของแพลตฟอร์ม Meta
ขณะเดียวกัน บริษัทได้เร่งนำเทคโนโลยี AI มาปรับใช้ เช่น โมเดล Andromeda และระบบจัดอันดับใหม่ ซึ่งช่วยให้การจับคู่โฆษณามีความแม่นยำมากขึ้นและทำให้มีคนซื้อของหรือสมัครบริการมากขึ้นจากโฆษณาบน Facebook และ Instagram
นอกจากการเติบโตของธุรกิจโฆษณา Meta ยังมุ่งขยายแหล่งรายได้ใหม่ผ่านแพลตฟอร์ม WhatsApp และ Threads ที่ถูกคาดหวังว่าจะสร้างรายได้เพิ่มอีกหลายพันล้านดอลลาร์ในปีหน้า เมื่อรวมกับฐานผู้ใช้ที่ยังเติบโตต่อเนื่องกว่า 3.4 พันล้านคนทั่วโลก และการก่อตั้ง Meta Superintelligence Labs (MSL) เพื่อรวมศักยภาพงานวิจัยและโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI เข้าด้วยกัน ยิ่งทำให้นักลงทุนมั่นใจว่า Meta มีทั้งฐานรายได้ที่แข็งแรงในปัจจุบันและศักยภาพการเติบโตระยะยาว
Tesla ได้รับแรงหนุนจากการซื้อหุ้นของ Elon Musk สะท้อนความเชื่อมั่นในอนาคตบริษัท
Elon Musk ทุ่มเงินกว่า $1 billion เพื่อซื้อหุ้น Tesla ของตัวเองจำนวน 2.5 ล้านหุ้น หลังจากบริษัทกำลังเผชิญความท้าทายด้านยอดขายที่ลดลงและการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า การตัดสินใจครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณชัดเจนที่สุดที่ Musk ส่งถึงนักลงทุนว่าตนยังคงมีความเชื่อมั่นเต็มที่ในอนาคตของบริษัท แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่จะนำบริษัทกลับสู่เส้นทางการเติบโตที่แข็งแกร่ง
นอกจากการแสดงความมั่นใจส่วนตัว โดยการซื้อหุ้นครั้งนี้ยังเกี่ยวข้องกับแผนค่าตอบแทนใหม่ของ Tesla สำหรับ Musk หากผู้ถือหุ้นอนุมัติแผนในวันที่ 6 พ.ย. เขาจะได้รับหุ้นบริษัทในสัดส่วน 12% ซึ่งหาก Tesla สามารถทำตามเป้าหมายการเติบโตและผลประกอบการที่ทะเยอทะยานได้สำเร็จ จะทำให้ Musk กลายเป็นบุคคลแรกของโลกที่มีทรัพย์สินแตะระดับ $1 trillion การเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงการแสดงความมั่นใจในบริษัทเท่านั้น แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญเพื่อกระตุ้นความเชื่อมั่นของตลาดและสร้างแรงจูงใจในการขับเคลื่อน Tesla ให้ประสบความสำเร็จในอนาคต
แม้จะมีข้อสงสัยถึงความสามารถในการเติบโตต่อของกลุ่ม Magnificent Seven แต่การลงทุนเชิงกลยุทธ์ล่าสุดของแต่ละบริษัทได้สะท้อนถึงความตั้งใจในการวางรากฐานระยะยาวอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ การพัฒนาเทคโนโลยีเฉพาะทาง หรือการขยายแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ ในบริบทที่เทคโนโลยีกำลังกลายเป็นแกนกลางของเศรษฐกิจโลก ความเคลื่อนไหวเหล่านี้จึงไม่ใช่เพียงการปรับตัว แต่คือการเร่งสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว กลุ่มบริษัทเหล่านี้จึงยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญที่ควรจับตามองต่อไป
ที่มา: Bloomberg, CNBC, Reuters