
สัปดาห์นี้ นักลงทุนทั่วโลกต่างจับตาการรายงานผลประกอบการของ Nvidia หุ้นตัวสุดท้ายในกลุ่ม Magnificent 7 อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ Data Center ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักของบริษัท
อย่างไรก็ตาม ก่อนการประกาศงบ ราคาหุ้น Nvidia กลับเผชิญแรงกดดันส่งผลให้ราคาปรับตัวลดลง เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าลูกค้าของบริษัทอาจลดการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐาน AI หลังจากทุ่มงบลงทุนอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีประเด็นการแข่งขันจากการพัฒนาชิป AI ของลูกค้าเอง เช่นกรณีของ DeepSeek AI ที่ใช้ชิป GPU น้อยลงและมีต้นทุนต่ำกว่า Nvidia รวมถึงปัจจัยลบจากการควบคุมการส่งออกชิปและการปรับขึ้นภาษีนำเข้า
อย่างไรก็ดี Nvidia ได้รายงานผลการดำเนินงานที่ยังคงออกมาแข็งแกร่ง และมีรายได้และกำไรออกมาดีกว่าที่คาดไว้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
NVIDIA รายงานผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง รายได้ AI ยังโตดีกว่าคาด
บริษัทรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด ทั้งรายได้และกำไรออกมาดีกว่าคาด โดยบริษัทมีรายได้อยู่ที่ $39.3 billion เติบโต 78% YoY และมีรายได้รวมทั้งปีที่ผ่านมาอยู่ที่ $130.5 billion เติบโต 114% YoY ขณะที่กำไรสุทธิของบริษัทอยู่ที่ $22.1 billion เติบโต 80% YoY คิดเป็นกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.89 โดยธุรกิจ Data Center ยังคงเป็นธุรกิจหลักโดยสร้างรายได้สูงถึง $35.6 billion เติบโตแรงถึง 93% YoY สะท้อนความต้องการหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPUs) ที่เพิ่มขึ้นตามกระแส AI โดย Colette Kress CFO ของ Nvidia เปิดเผยว่า บริษัทมีรายได้จากชิปตระกูลใหม่ Blackwell สูงถึง $11 billion ภายในไตรมาสเดียว ถือเป็นการเติบโตของผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท ลูกค้าหลักยังคงเป็นกลุ่มผู้ให้บริการ Cloud รายใหญ่ (Hyperscale Cloud Providers) ซึ่งคิดเป็น 50% ของรายได้จาก Data Center ทั้งหมด ส่งผลให้ปัจจุบัน Data Center มีสัดส่วนรายได้สูงถึง 91% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นจาก 83% ในปีก่อน
อย่างไรก็ดีรายได้จากธุรกิจอื่น ๆ ของ Nvidia ยังคงมีความผันผวนทั้งปรับเพิ่มขึ้นและลดลง
รายได้ธุรกิจ Gaming: $2.5 billion ลดลง 11% YoY
รายได้ธุรกิจ Professional Visualization: 511 million เติบโต 10% YoY
รายได้ธุรกิจ Automotive & Robotics: 570 million เติบโตสูงถึง 103% YoY
นอกจากนี้ Nvidia ยังดำเนินนโยบายซื้อหุ้นคืนอย่างต่อเนื่อง โดยในปีงบล่าสุด บริษัทซื้อหุ้นคืนไปแล้วกว่า $33.7 billion
ทั้งนี้ บริษัทคาดการณ์ว่ารายได้ในไตรมาสแรกของปีนี้จะอยู่ที่ราว $43 billion (บวกลบไม่เกิน 2%) สูงกว่านักวิเคราะห์คาดที่ $42.3 billion
มุมมองผู้บริหาร: DeepSeek ไม่ใช่ภัย แต่คือโอกาสใหม่
Jensen Huang CEO ของ Nvidia มองว่า แม้การมาของ DeepSeek AI จะสร้างความกังวลว่าบริษัทอาจเสียส่วนแบ่งตลาด แต่กลับกัน Huang เชื่อว่า DeepSeek จะกระตุ้นความต้องการชิป AI เพิ่มขึ้นอีก เพราะแม้ Model ของ DeepSeek จะใช้ชิปน้อยลง แต่ Model เหล่านี้เป็น Reasoning Model ที่มีความซับซ้อนสูง สามารถวิเคราะห์ ตีความ และให้เหตุผลใกล้เคียงมนุษย์ ซึ่งการพัฒนา Model ให้แม่นยำและทรงประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จะต้องใช้พลังการประมวลผลสูงขึ้นแบบทวีคูณ โดย Huang คาดว่า AI เจนเนอเรชันใหม่จะต้องใช้กำลังประมวลผลมากกว่าปัจจุบันถึง 100 เท่า
ผลกระทบต่อตลาดและมุมมองของนักวิเคราะห์และนักลงทุน
แม้ผลประกอบการจะออกมาดีกว่าคาด แต่ราคาหุ้น Nvidia กลับร่วงแรง -8.48% หลังตลาดปิดในวันประกาศงบ สาเหตุหลักมาจากต้นทุนการผลิตชิป Blackwell ที่สูงกว่าคาด ส่งผลให้ Gross Margin ชะลอตัวเหลือ 73% ลดลงจากปีก่อน 3% อย่างไรก็ตาม Colette Kress CFO ย้ำว่า เมื่อกระบวนการผลิตชิป Blackwell เข้าสู่ช่วงที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นจะทยอยฟื้นตัว โดยคาดว่าจะกลับมาแตะระดับ 75% ได้ภายในปี 2025 ซึ่งนักวิเคราะห์ยังแสดงความกังวลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาห่วงโซ่อุปทาน และความเสี่ยงด้านการเพิ่มภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ซึ่งอาจกระทบต้นทุนการผลิต เนื่องจาก Nvidia ต้องนำเข้าชิ้นส่วนสำคัญจาก TSMC ในไต้หวัน รวมถึงแรงกดดันจากการควบคุมการส่งออกชิปไปยังจีน อย่างไรก็ดี Nvidia ระบุว่าปัจจุบันรายได้จากจีนคิดเป็นเพียง 5%-10% ของรายได้จาก Data Center ทั้งหมด ซึ่งลดลงอย่างมากจากช่วงก่อนที่สหรัฐฯ จะออกมาตรการควบคุม
ปัจจัยบวกที่รออยู่ : เปิดตัว Blackwell รุ่นใหม่ มีนาคมนี้
อีกหนึ่งอีเวนต์สำคัญที่ตลาดจับตาคือ การเปิดตัวชิปรุ่นใหม่จากตระกูล Blackwell ในงาน GPU Technology Conference 2025 (GTC) วันที่ 17 มีนาคม 2025 ซึ่งจะเป็นตัวชูโรงสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
สรุปภาพรวม : แม้มีความท้าทาย แต่ Nvidia ยังแข็งแกร่งในสมรภูมิ AI
แม้เผชิญแรงกดดันจากหลายปัจจัย แต่ด้วยความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี AI ตลอดจนแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรม AI ในระยะยาว ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่หนุนให้ Nvidia เป็นหุ้นเทคโนโลยีดาวเด่น ที่นักลงทุนทั่วโลกไม่อาจมองข้าม
ที่มา: CNBC, Bloomberg, The New York Time, Reuters