Donald Trump กำลังจะขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการในอีก 50 วันข้างหน้า ซึ่งพิธีสาบานตนจะมีขึ้นในวันที่ 20 มกราคม 2025 โดยหลังจากที่ Trump สามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งได้สำเร็จ อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่นักลงทุนจับตาดูอย่างมากก็คือ Trump จะแต่งตั้งบุคคลใดบ้าง ขึ้นมาดำรงตำแหน่งสำคัญ ๆ โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่าง ๆ ซึ่งเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนตลาดตอบรับเชิงลบต่อการประกาศชื่อว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และเป็นปัจจัยกดดันหุ้นในกลุ่ม Healthcare มาแล้ว เนื่องจาก Robert F. Kennedy Jr. บุคคลที่ Trump เตรียมจะให้เข้ามารับดำรงตำแหน่งนี้นั้นเคยมีประวัติในการต่อต้านวัคซีนมาก่อน
แต่ในทางกลับกันในช่วงต้นสัปดาห์นี้การประกาศรายชื่อว่าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกลับได้รับการตอบรับเชิงบวกอย่างมากต่อทั้งตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ ซึ่งบุคคลที่กำลังจะก้าวขึ้นมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ของสหรัฐ ฯ ก็คือ Scott Bessent โดยจากผลตอบรับของตลาดหุ้นดูเหมือนว่าชื่อของ Bessent จะได้รับการยอมรับจากนักลงทุนและ Bessent ถูกมองว่า จะกลายเป็นอีกหนึ่งคีย์แมนคนสำคัญที่ทำให้นโยบายที่ส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นต่าง ๆ ของ Trump เป็นจริงได้ง่ายขึ้น รวมถึงนโยบายที่ตลาดหุ้นกังวลนั้น Bessent อาจจะเป็นบุคคลที่ช่วยให้การดำเนินนโยบายนั้นไม่ได้มีแนวทางที่สุดโต่งจนเกินไป
Scott Bessent กับประสบการณ์ในตลาดทุน
Scott Bessent ปัจจุบันอายุ 62 ปี เกิดในปี 1962 ที่รัฐ South Carolina และได้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Yale ในปี 1984 หลังจบการศึกษา Bessent ได้เริ่มทำงานครั้งแรกเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และนักเทรด option ที่หน่วยงานด้านลงทุนในบริษัทแห่งหนึ่งของครอบครัวชาวซาอุดิอาระเบีย ก่อนที่เขาจะไปฝึกงานกับ Jim Rogers นักลงทุนผู้ได้รับสมญานามว่า “Indiana Jones of Finance” และได้ทำงานให้กับผู้จัดการกองทุน James Chanos ที่ Brown Brothers Harriman
ในปี 1991 Bessent ได้เข้าร่วมทำงานกับ Soros Fund Management บริษัทจัดการกองทุน Hedge Fund ของ George Soros นักลงทุนชื่อดัง ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Bessent เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เนื่องจากในช่วงที่ Bessent ทำงานที่ Soros Fund Management เขาได้ทำกำไรให้กับกองทุนอย่างมหาศาล โดยในช่วงต้น Bessent มีส่วนร่วมในการวางแผน Short Sell เงินปอนด์ในปี 1992 จนเกิดวิกฤติ “Black Wednesday” ที่ทำให้ธนาคารกลางอังกฤษต้องยกเลิกการผูกค่าเงินกับเงินยูโร ซึ่งแผนในครั้งนั้นทำกำไรให้กับ Soros มากกว่า $1 billion
ต่อมาในช่วงปี 2000 ถึง 2005 Bessent ได้พยายามออกจาก Soros เพื่อออกมาก่อตั้งบริษัทของตัวเอง แต่ไม่สำเร็จ ทำให้เขากลับไปทำงานกับ Soros อีกครั้ง และในปี 2011 เขาได้ขึ้นดำรงตำแหน่ง Chief Investment Officer (CIO) ของบริษัท
โดยในปี 2015 สุดท้ายแล้ว Bessent ก็ได้ก้าวออกจาก Soros Fund Management และก่อตั้งบริษัทการลงทุนของตัวเองขึ้นในชื่อ Key Square Group โดยเริ่มต้น Bessent ได้รับการสนับสนุนเงินทุน $2 billion จาก George Soros และสามารถระดมทุนในครั้งแรกได้รวมเป็นเงินราว $4.5 billion ซึ่ง Key Square Group เป็นกองทุนที่เน้นการลงทุนแบบมหภาค หรือเป็นกองทุนที่มุ่งเน้นการวิเคราะห์ปัจจัยมหภาคของเศรษฐกิจโลก เพื่อเลือกสินทรัพย์ที่จะลงทุน โดย Hedge Fund ของ Bessent ถือเป็นกองทุน Hedge Fund ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในแวดวงการลงทุนอย่างมาก
มุมมองและแนวทางในการดำเนินนโยบายของ Scott Bessent หากได้ดำรงตำแหน่ง
- ภาษีบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล – สนับสนุนให้มีการต่ออายุนโยบายการลดอัตราภาษีบุคคลธรรมดา ที่มีมาตั้งแต่สมัยที่ Trump ดำรงตำแหน่งสมัยแรกเมื่อปี 2017 และกำลังจะหมดอายุในปี 2025 และยังรวมถึงการผลักดันปรับลดภาษีนิติบุคคลจาก 21% ให้ลงมาอยู่ที่ระดับ 15% อีกด้วย
- การกำกับดูแลทางการเงิน – ในฐานะผู้กำกับดูแลคณะกรรมการกำกับดูแลเสถียรภาพทางการเงิน คาดว่าจะให้ความสำคัญกับความเหมาะสมในการกำกับดูแลที่ไม่ได้มีความเข้มงวดมากเกินไปจนกระทบต่อการเติบโตของตลาดการเงิน อย่างเช่นอาจมีการผ่อนคลายกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency และ Stablecoin โดยทาง Bessent เคยแสดงความเห็นว่า Crypto มีบทบาทที่ช่วยดึงดูดนักลงทุนรุ่นใหม่ รวมถึงผู้ที่ไม่เคยเข้าถึงตลาดการเงินให้เข้าถึงตลาดการเงิน
- ภาษีศุลกากร – Bessent สนับสนุนให้ใช้ภาษีศุลกากร แต่มองว่าควรใช้เพียงเพื่อเป็นกลยุทธ์และอีกหนึ่งเครื่องมือในการเจรจาเพื่อให้ได้ข้อเสนอทางการค้าที่เป็นประโยชน์จากคู่ค้ารายใหญ่ รวมถึงสนับสนุนให้มีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อคุมค่าเงินดอลลาร์ไม่ให้แข็งค่าเร็วจนเกินไป และลดความเสี่ยงที่จะทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
- หนี้สาธารณะ – Bessent เน้นย้ำถึงการลดการขาดดุลงบประมาณ ผ่านสนับสนุนการควบคุมค่าใช้จ่ายของรัฐฯ โดยให้คำแนะนำว่า Trump สามารถลดค่าใช้จ่ายผ่านการยกเลิกกฎหมาย Inflation Reduction Act (IRA) ที่เป็นภาระต่อหนี้สาธารณะ
โดยการเสนอชื่อ Bessent ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของ Donald Trump อาจเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เนื่องจากแนวทางการดำเนินนโยบายของทั้งสองมีความสอดคล้องกันโดยเฉพาะแนวคิดด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี ความสุดโต่งในนโยบายของ Trump อาจก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจได้ ซึ่ง Bessent ที่ให้ความสำคัญกับเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความมั่นคงของตลาดการเงินเป็นหลักอาจเป็นบุคคลสำคัญที่ช่วยแตะเบรคการดำเนินนโยบายบางอย่างของ Trump ได้บ้าง
Source : Bloomberg, Financial Times, Reuters