หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนให้ความสนใจมากที่สุดในสัปดาห์นี้ คือ การประกาศผลการดำเนินงานของ Nvidia ซึ่งเป็นบริษัทสุดท้ายในกลุ่ม Magnificent 7 ที่จะรายงานผลการดำเนินงานออกมา โดยนักลงทุนต่างจับตาดูอย่างใกล้ชิดว่า Nvidia จะสามารถรักษาการเติบโตได้ต่อเนื่องเช่นเดียวกับบริษัทอื่นๆ ในกลุ่ม Magnificent 7 ที่ได้รายงานไปก่อนหน้านี้หรือไม่
โดยถึงแม้จะมีความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับหลายประเทศ แต่โดยรวมแล้วบริษัทส่วนใหญ่ในกลุ่ม Magnificent 7 ยังคงมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง ซึ่งทำให้นักลงทุนคาดหวังว่า Nvidia ก็จะไม่ทำให้ผิดหวังเช่นกัน
ผลการดำเนินงานของ Nvidia ในครั้งนี้ ยังถูกมองว่าอาจช่วยคลายความกังวลของตลาดที่มีต่อบริษัท โดยเฉพาะประเด็นต้นทุนการผลิตชิป Blackwell ที่อยู่ในระดับสูง และมาตรการควบคุมการส่งออกชิปเทคโนโลยีขั้นสูงจากสหรัฐฯ ไปยังจีน
NVIDIA รายงานรายได้และกำไรดีกว่าคาด Data Center โต 73% YoY
Nvidia รายงานผลการดำเนินงานไตรมาสที่ผ่านมาโดยมีรายได้ $44.06 billion สูงกว่าคาดที่ $43.31 billion และ เติบโต 69% YoY ส่วนกำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ $0.96 สูงกว่าคาดที่ $0.93 เติบโต 57% YoY
โดยธุรกิจ Data Center ซึ่งเป็นธุรกิจหลักโดยคิดเป็นสัดส่วน 88% ของรายได้รวมยังคงเติบโตได้อย่างโดดเด่นที่สุด ซึ่งธุรกิจดังกล่าวสามารถสร้างรายได้สูงถึง $39.1 billion หรือเพิ่มขึ้น +73% YoY โดยในไตรมาสนี้นวัตกรรมล่าสุดของบริษัทอย่าง GPU รุ่น Blackwell ได้เริ่มถูกใช้งานโดยลูกค้ารายใหญ่ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้าน Cloud Computing ไม่ว่าจะเป็น Amazon Web Service, Google Cloud, Microsoft Azure รวมไปถึง Oracle Cloud Infrastructure อีกด้วย อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าในช่วงต้น Nvidia มีปัญหาในการส่งมอบ GPU รุ่น Blackwell ที่ล่าช้า แต่วิศวกรที่ร่วมงานกับพันธมิตรของ Nvidia ได้เผยต่อสำนักข่าว Financial Times ว่าพันธมิตรรายใหญ่ของ Nvidia ได้แก่ Foxconn, Inventec, Dell และ Wistron สามารถแก้ไขปัญหาการจัดส่งชิ้นส่วนสำหรับการประกอบชิป Blackwell ที่ล่าช้าได้
นอกเหนือจากธุรกิจด้าน Data Center แล้ว Nvidia ยังสามารถสร้างรายได้ในกลุ่มธุรกิจต่างๆ ได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกันโดยมีรายละเอียด ดังนี้
- รายได้ในธุรกิจ Gaming เพิ่มขึ้น 42% YoY อยู่ที่ระดับ $3.8 billion เติบโตเร็วที่สุดนับตั้งแต่จัดตั้งบริษัท
- Automotive & Robotics เพิ่มขึ้น 72% YoY อยู่ที่ระดับ $567 million
- Professional Visualization (การสร้างภาพข้อมูลระดับมืออาชีพ) โต 19% YoY อยู่ที่ $509 million
ผู้บริหารยังมองบริษัทยังเติบโตได้ต่อจากความต้องการใช้ AI ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
Jensen Huang CEO มองว่าความต้องการ AI ทั่วโลกยัง “แข็งแกร่งมาก” เห็นได้จากการใช้งานชิป Blackwell นับหลายหมื่นชิ้นของ Microsoft เพื่อรองรับผลผลิตจาก AI ที่มหาศาล นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมา Nvidia ยังได้รับประโยชน์จากการออกเยือนประเทศพันธมิตรในตะวันออกกลางของประธานาธิบดี Donald Trump หลังจากได้ยกเลิกกฎที่จำกัดการส่งออกชิป (AI Diffusion Rule) ที่ถูกบังคับใช้ในสมัยอดีตประธานาธิบดี Joe Biden โดยความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับชาติในตะวันออกกลางเป็นใบเบิกทางสำหรับ Nvidia ให้สามารถรุกตลาดในภูมิภาคนี้ได้ ซึ่ง Nvidia ได้ประกาศความร่วมมือกับประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์โดยได้บรรลุข้อตกลงการนำเข้าชิป Nvidia ถึง 1 ล้านชิ้นภายในปี 2027 สำหรับโครงการโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ในชื่อ “Stargate UAE”
นอกจากนี้ บริษัทยังได้จับมือกับประเทศซาอุดิอาระเบียในการร่วมพัฒนาโครงการนวัตกรรม AI ที่มีชื่อว่า “HUMAIN” ที่ลงทุนสร้าง Data Center ขนาดใหญ่ที่รองรับการใช้งานด้าน AI หลายแขนงโดยมีพลังประมวลผลรวมสูงถึง 500 เมกะวัตต์ โดยเม็ดเงินลงทุนสำหรับโครงการนี้มากถึง $10 billion ซึ่ง Nvidia จะทำการจัดส่งชิปหลายแสนชิ้นภายในช่วงระยะเวลา 5 ปีร่วมกับอีกหนึ่งบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ที่มีชื่อเสียงอย่าง AMD อีกด้วย
สถานการณ์การกีดกันทางการค้ายังคงเป็นความท้าทายของบริษัท
อย่างไรก็ดี Jensen Huang ก็ได้แสดงความกังวลต่อการส่งออกชิปไปยังประเทศจีนที่บริษัทอาจเสียส่วนแบ่งในตลาดจีนได้ในอนาคต ซึ่งถึงแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมา Nvidia ได้ใช้ความพยายามในการผลิตชิป H20 ที่เป็นไปตามข้อกำหนดการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงที่กำหนดโดยรัฐบาลสหรัฐฯ แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ก็ยังคงได้ทำการสั่งห้ามการส่งออกชิปดังกล่าวไปยังประเทศจีนอยู่ดี เนื่องจากประสิทธิภาพของชิปยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯมองว่าจะทำให้จีนสามารถนำไปใช้ในระบบ Supercomputer หรือเพิ่มศักยภาพให้กับทางการทหารของกองทัพได้ ด้วยเหตุนี้ส่งผลให้ Nvidia ต้องตั้งสำรองสินค้าคงคลังด้วยจำนวนเงินถึง $4.5 billion และสูญเสียโอกาสรับรู้รายได้ราว $2.5 billion ส่งผลให้ Gross margin ของบริษัทลดลงจาก 71.3% เหลือ 61% ซึ่งในช่วงที่สหรัฐฯ สั่งห้าม Nvidia ส่งออกชิป H20 ไปยังประเทศจีน บริษัทเทคโนโลยีจีนชื่อดังอย่าง Huawei ก็ได้เปิดตัวชิป 910C ที่มีศักยภาพใกล้เคียงกับชิปของ Nvidia ได้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ในภาพรวมผลการดำเนินงานของ Nvidia ในไตรมาสนี้ยังคงแสดงถึงความแข็งแกร่งของบริษัทท่ามกลางประเด็นการค้าระหว่างประเทศที่มีความไม่แน่นอนสูง แต่ Nvidia ก็ยังได้รับแรงหนุนจากกระแสความต้องการใช้งานเทคโนโลยีขั้นสูงสำหรับนวัตกรรม AI ที่ยังคงมีอยู่ต่อเนื่อง โดยหลังจากผลการดำเนินงานของ Nvidia ออกมาราคาหุ้น Nvidia ปรับตัวขึ้น +3.25% (ณ วันที่ 29 พ.ค.2025) หลังตลาดทราบผลการดำเนินงาน สะท้อนให้เห็นว่าผลการดำเนินงานในครั้งนี้สามารถช่วยคลายความกังวลและความสงสัยต่อสถานการณ์ของบริษัทลงได้ โดยราคาหุ้น Nvidia ณ ปัจจุบันอยู่ห่างจากระดับราคาสูงสุดในช่วงต้นปีเพียงแค่ราว 8% เท่านั้น
ที่มา: Company Report, Financial Times
