
แม้การประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เดือนตุลาคม 2025 จะเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ด้วยการปรับลดดอกเบี้ยลง แต่สิ่งที่นักลงทุนทั่วโลกจับตาไม่แพ้ตัวเลขดอกเบี้ย คือ ถ้อยแถลงจากประธาน Fed ที่ออกมาส่งสัญญาณยังไม่ปักธงเดินหน้าผ่อนคลายนโยบายอย่างต่อเนื่อง สะท้อนถึงความระมัดระวังมากขึ้น หลังเห็นถึงสัญญาณความไม่แน่นอน เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่ถูกจำกัดจากรัฐบาลปิดทำการ (Government Shutdown) และความเห็นของคณะกรรมการที่แตกต่างกันออกไป
ประเด็นสำคัญจากผลการประชุม Fed ครั้งล่าสุด
- คณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ลงมติ 10 ต่อ 2 เสียงให้ปรับลดกรอบอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Fund Rate) ลง 0.25% ระดับ 3.75%-4.00% ซึ่งเป็นการลดอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 ของปีนี้
- ด้าน Stephen Miran ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งกรรมการ Fed เมื่อเดือนก่อน เสนอให้ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% โดยมองว่าควรผ่อนคลายนโยบายให้เร็วขึ้น จากตลาดแรงงานที่ชะลอตัว
- ขณะที่ Jeff Schmid ประธาน Fed สาขาแคนซัสซิตี้ คัดค้านในทิศทางตรงข้ามกับ Stephen Miran โดยโหวตคงอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากอัตราดอกเบี้ย Fed ยังอยู่ในระดับเหมาะสมและเงินเฟ้อยังเป็นความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
- สาเหตุของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุม Fed ครั้งนี้มาจาก ตลาดแรงงานที่ชะลอลง, อัตราเงินเฟ้อเดือนล่าสุดยังอยู่เหนือระดับเป้าหมาย, และข้อมูลเศรษฐกิจถูกจำกัดจากรัฐบาลปิดทำการ (Government Shutdown)
- Jerome Powell ประธาน Fed ส่งสัญญาณว่า Fed อาจไม่จำเป็นต้องลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ โดยออกมาเตือนให้นักลงทุนไม่คาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยในอนาคต
ถ้อยแถลงของ Jerome Powell
ด้านความเห็นของ Jerome Powell ประธาน Fed สะท้อนถึงท่าทีระมัดระวังต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะข้างหน้า โดยระบุว่า แม้จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่ Fed ยังไม่สามารถให้แนวทางที่ชัดเจนได้ เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจบางส่วนยังไม่ครบถ้วนจากการปิดทำการของหน่วยงานรัฐ (Government Shutdown) และความเสี่ยงด้านการจ้างงานที่เริ่มเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ Fed จะติดตามข้อมูลเศรษฐกิจชุดใหม่อย่างใกล้ชิด และพร้อมปรับนโยบายตามสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง โดยไม่ผูกมัดกับทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
หลังแถลงการณ์ ตลาดปรับลดโอกาสที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมจาก 90% เหลือ 67%
การยุติการลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening: QT)
นอกจากการปรับลดดอกเบี้ยแล้ว Fed ยังส่งสัญญาณสำคัญในเชิงนโยบายการเงิน โดยประกาศว่าจะหยุดการลดขนาดงบดุลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม ซึ่งเป็นการสิ้นสุดกระบวนการที่เริ่มตั้งแต่ปี 2022 หลังจากลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลและหลักทรัพย์ที่มีสินเชื่อจำนองค้ำประกันไปราว $2 trillion ซึ่งส่งผลให้งบดุลลดลงเหลือประมาณ $6.6 trillion ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2020
การเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนว่า Fed กำลังปรับจังหวะนโยบายให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง และสำหรับนักลงทุน สิ่งที่ต้องจับตาต่อไปไม่ได้มีเพียงเรื่องงบดุล แต่ยังรวมถึงหลายปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางดอกเบี้ยและตลาดการเงินในระยะถัดไป
ผลกระทบต่อตลาด
ถึงแม้ Fed จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาด แต่ตลาดกลับเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังตามถ้อยแถลงของ Jerome Powell โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นทันทีหลังจากที่ Fed มีมติลดดอกเบี้ยในการประชุม FOMC ในครั้งนี้ ซึ่งสะท้อนถึงความไม่แน่นอนในทิศทางนโยบายการเงินรอบถัดไป
ปัจจัยที่นักลงทุนควรต้องติดตาม
- ผลการประชุม Fed ในเดือนธันวาคม 2025: แม้ตลาดคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยอีก 0.25% แต่จากโทนและถ้อยแถลงของ Jerome Powell สะท้อนว่า การลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมยังไม่ใช่ข้อสรุปที่แน่นอน โดย Fed จะยังพิจารณาข้อมูลเศรษฐกิจใหม่และความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงก่อนตัดสินใจ ซึ่งหมายความว่านักลงทุนต้องเตรียมรับความเป็นไปได้ทั้งสองด้าน นั้นก็คือ Fed อาจลดดอกเบี้ยตามคาด หรือเลือกคงอัตราดอกเบี้ยหากข้อมูลเศรษฐกิจไม่สนับสนุนการผ่อนคลายเพิ่มเติม
- ความไม่แน่นอนของข้อมูลเศรษฐกิจเป็นปัจจัยใหม่: การปิดทำการของหน่วยงานรัฐ (Government Shutdown) ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญจากภาครัฐ เช่น ข้อมูลการจ้างงานและเงินเฟ้อ ไม่สามารถเผยแพร่ได้ตามปกติ ซึ่งส่งผลให้ Fed ต้องพึ่งพาข้อมูลจากแหล่งอื่น เช่น ภาคเอกชนหรือระดับรัฐ ซึ่งอาจมีความคลาดเคลื่อนจากภาพรวมจริง หากข้อมูลเหล่านี้ไม่แม่นยำ ก็อาจทำให้การตัดสินใจของ Fed ผิดพลาดได้
- ตลาดต้องประเมินความแตกต่างทางความคิดเห็นภายใน Fed: ความเห็นภายในที่แตกแยกอย่างชัดเจนระหว่างฝ่ายที่เน้นการจ้างงานกับฝ่ายที่กังวลเงินเฟ้อ อาจนำไปสู่ความผันผวนให้กับตลาดการเงินได้
กลยุทธ์และมุมมองการลงทุน
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในรอบนี้มีแนวโน้มส่งผลเชิงบวกต่อกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ซึ่งมักได้รับแรงหนุนจากต้นทุนทางการเงินที่ลดลงและสภาพคล่องที่ผ่อนคลายมากขึ้น โดยกลุ่มที่ยังคงเติบโตอย่างโดดเด่นคือ หุ้นกลุ่มเติบโต (Growth) โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อย่างไรก็ดี การชะลอตัวของอัตราดอกเบี้ยก็อาจสร้างความเสี่ยงต่อตลาดการเงิน ซึ่งการลงทุนแบบผสมที่มีการกระจายการลงทุนทั้งในตราสารหนี้และหุ้นที่มีการปรับพอร์ตอย่างสม่ำเสมอก็ยังเป็นอีกวิธีการลงทุนที่น่าสนใจ
สำหรับมุมของนักลงทุนไทยและตลาดเกิดใหม่ การลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ยังอาจส่งผลต่อทิศทางกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย Fund Flow และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลต่อความแข็งแกร่งของสกุลเงินในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงความน่าสนใจของสินทรัพย์ในตลาดเกิดใหม่โดยรวม นักลงทุนจึงควรติดตามการเคลื่อนไหวของค่าเงินและผลตอบแทนพันธบัตรอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินโอกาสและความเสี่ยงในการกระจายการลงทุน
ทั้งนี้ หากในปี 2025 หาก Fed ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีก 1 หรือ 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี (และส่งสัญญาณว่าจะลดต่อในปีหน้า) แนวโน้มของนโยบายดอกเบี้ย Fed ในปี 2026 อาจเริ่มถูกตั้งคำถามมากขึ้น ว่า Fed จะยังคงลดดอกเบี้ยต่อเนื่องหรือจะเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ย เพื่อประเมินภาวะเงินเฟ้อและตลาดแรงงานก่อนตัดสินใจอีกครั้ง
ในสถานการณ์เช่นนี้ นักลงทุนควรปรับกลยุทธ์โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินทรัพย์มากกว่าการเพิ่มปริมาณการถือครอง โดยเน้นเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความแข็งแกร่งพื้นฐานดี กระแสเงินสดมั่นคง และสามารถรับมือกับความผันผวนของนโยบายการเงินโลกได้ดีกว่าในระยะข้างหน้า
ที่มา: Bloomberg