อากาศที่ร้อนจัดในปีนี้ ทำให้ค่าใช้จ่ายต่างๆ ของเราเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟที่เพิ่มขึ้นเพราะเปิดแอร์เปิดพัดลมกันทั้งวัน หลายคนที่ work from home ก็เริ่มบ่นคิดถึงแอร์เย็นๆ ทีออฟฟิศกันแล้ว
นอกจากนี้ อากาศร้อนทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลง ไก่ไม่ค่อยกินอาหาร เลยออกไข่น้อย ทำให้ไข่ไก่ที่เคยเป็นอาหารสุดประหยัด ก็แพงทะลุเปลือกไข่ ราคาขายปลีกพุ่งเป็นฟองละ 5 บาทกันไปเรียบร้อยแล้ว ผักหลายชนิดที่ร้านอาหารต้องใช้ อย่างต้นหอม ผักชี แตงกว่า คะน้า ก็ไม่ค่อยจะโตทำให้ราคาอาหารแพงขึ้นอย่างมาก
นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายอีกอย่างที่เพิ่มขึ้นในหน้าร้อน คือ ค่ารักษาพยาบาล เพราะโรคบางโรคเกิดขึ้นบ่อยในหน้าร้อน เช่น ไมเกรน ท้องเสียจากอาหารเป็นพิษ ผื่นแพ้จากเหงื่อ เป็นต้น
ซึ่งการที่โลกของเราร้อนขึ้นเรื่อยๆ ภาพของค่าใช้จ่ายในอนาคตก็ดูจะเพิ่มสูงขึ้นไม่หยุด ดังนั้น เราจึงควรเตรียมตัวให้พร้อมรับกับเหตุการณ์ดังกล่าว ด้วยการวางแผนการเงินอย่างดีตามหลักการ Smart Retirement เพื่อที่เราจะได้มีเงินพร้อมสำหรับใช้ชีวิตตามที่เราต้องการหลังเกษียณ
1. “Smart Saving” ออมอย่างฉลาด
ระยะเวลาการออมเป็นปัจจัยสำคัญในการออม คนที่ออมเร็ว แม้ออมต่อเดือนน้อยกว่า แต่การออมที่นานกว่า ก็สามารถไปถึงเป้าหมายการมีเงินพอใช้หลังเกษียณได้ง่ายกว่าคนที่ออมช้า โดยยึดหลัก “ออมก่อนใช้” ทุกครั้งที่เงินเดือนออก ให้กันส่วนหนึ่งไว้เป็นเงินออมและลงทุน จากนั้นส่วนที่เหลือค่อยนำไปใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นต่อไป
โดยเงินสำรองฉุกเฉินเป็นเงินก้อนแรกที่แนะนำให้ออม ซึ่งเอาไว้ใช้ในยามจำเป็นหรือเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น ขาดรายได้เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุ หรือออกจากงานอย่างกระทันหัน เป็นต้น โดยให้เก็บเงินไว้ในทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องและไม่มีความเสี่ยงว่าจะขาดทุน เช่น เงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำระยะสั้น เป็นต้น โดยเงินสำรองฉุกเฉินควรกันไว้ประมาณ 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายต่อเดือน
นอกจากนี้ ให้ลงทุนผ่านกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ซึ่งสามารถนำเงินลงทุนมาหักลดหย่อนภาษีได้ โดยให้แบ่งเงินลงทุนไปในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว ซึ่งสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต้องขึ้นกับระดับการยอมรับความเสี่ยงของแต่ละคน ทั้งนี้ อัตราการออมเพื่อการเกษียณอย่างน้อยควรอยู่ที่ 10% – 20% ของรายได้
2. “Smart Spending” ไม่พลาดเรื่องใช้จ่าย
การทำงบประมาณรายรับ-รายจ่าย ทำให้เราสามารถควบคุมการใช้เงินของเราได้เป็นอย่างดี โดยให้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นในมือถือมาใช้ ซึ่งหลังจากที่ได้รับเงินเดือนและหักเงินออมตามที่ตั้งเป้าแล้ว ก็ให้ตั้งงบในการใช้จ่ายที่ไม่เกินรายได้ที่เหลืออยู่ จากนั้นให้พยายามใช้จ่ายภายใต้งบที่ตั้งไว้ให้ได้
นอกจากนี้ ไม่ควรก่อหนี้เพิ่ม โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิต หนี้ส่วนบุคคล และหนี้นอกระบบ ที่ดอกเบี้ยสูง และควรรีบจ่ายคืนหนี้เดิมที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น หนี้เงินกู้เพื่อการศึกษา หนี้กู้รถ เป็นต้น เพื่อวางแผนเก็บเงินก้อนโต หรือกู้เงินเพื่อซื้อทรัพย์สินชิ้นใหญ่ที่จะมีมูลค่าเพิ่มและสร้างความสะดวกสบายให้กับครอบครัว เช่น บ้าน เป็นต้น
3. “Smart Living” สบายๆ กับชีวิต
การแบ่งเวลาทำกิจกรรมสร้างความสุขและเหมาะสมกับช่วงอายุ ทำให้เราคลายเครียดจากการทำงานลงได้ ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวตามแนวที่ตนเองชอบ ดูซีรี่ย์ นวดผ่อนคลาย ปฏิบัติธรรมทำสมาธิ เป็นต้น
นอกจากนี้ ควรแบ่งเวลาให้กับครอบครัวอย่างเหมาะสม เช่น คอยแนะนำปลูกฝังให้ลูกรู้จักการออมและการวางแผนการเงินและลงทุนให้เหมาะสมกับช่วงวัย ไปเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ พาท่านไปเที่ยวทานช้าว ปรับปรุงบ้านให้เหมาะกับผู้สูงอายุ รวมถึงช่วยวางแผนการเงินเพื่อการเกษียณสำหรับคุณพ่อคุณแม่ด้วย
4. “Smart Insured” ลิมิตความเสี่ยง
หลายคนทำงานเก็บเงินมาทั้งชีวิต แต่สุดท้ายหมดไปกับค่ารักษาพยาบาลโรคร้ายแรง บางคนต้องเสียบ้าน/รถไปด้วยอุบัติภัยที่คาดไม่ถึง
ทางออกของเรื่องนี้ ก็คือ การบริหารความเสี่ยงด้วยการเลือกทำประกันที่เหมาะสมเพื่อลิมิตความเสี่ยงในด้านต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเราและครอบครัวรวมถึงทรัพย์สินของเรา ไม่ว่าจะเป็น ประกันอุบัติเหตุที่จ่ายเบี้ยน้อยแต่ความคุ้มครองสูง ประกันสุขภาพที่สามารถซื้อให้เหมาะสมต่อยอดจากสวัสดิการของนายจ้าง ประกันสะสมทรัพย์เพื่อสะสมเป็นเงินออมตามกำลังของเรา ประกันบำนาญเป็นตัวเสริมที่ทำให้เรามีเงินส่วนหนึ่งไว้ใช้หลังเกษียณอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งประกันบางประเภทสามารถนำเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีสำหรับผู้ที่ต้องเสียภาษีอีกด้วย
หากเพื่อนๆ อยากมีชีวิตที่มั่งคั่งมั่นคงในปัจจุบันและสุขสบายหลังเกษียณ ไม่ต้องกังวลจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นจากโลกร้อน เพื่อนๆ ควรวางแผนชีวิตแบบสมาร์ทอย่างเต็มกำลัง ซึ่งหากลงมือได้สำเร็จ เป้าหมายที่เราตั้งใจไว้อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอนครับ