Apple ยังไหวหรือไม่ กับ 3 มรสุมครั้งสำคัญที่บริษัทกำลังเผชิญ

     ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ Apple บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap) ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของโลกปรับตัวลดลง -7.6% (ข้อมูล ณ วันที่ 28 มี.ค. 2024) สวนทางกับหลายบริษัทเทคฯใหญ่ในกลุ่ม Magnificent 7 ไม่ว่าจะเป็น Nvidia, Microsoft, Amazon, Meta Platform, Alphabet ที่ราคาหุ้นต่างปรับตัวขึ้น รวมถึงดัชนี S&P500 และ Nasdaq ที่พุ่งขึ้นแตะระดับ All time high โดยนักวิเคราะห์บางส่วนเริ่มปรับลดคำแนะนำหุ้น Apple ลง จากการที่ Apple กำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งยอดขาย iPhone ในตลาดหลักอย่างจีนที่ปรับลงต่อเนื่อง, ความเสี่ยงการถูกฟ้องร้องจากข้อหาผูกขาด และความล่าช้าในการพัฒนาเทคโนโลยี AI ซึ่งเราจะมาเจาะลึกกันใน 3 ประเด็นนี้ว่า Apple จะสามารถผ่านพ้นไปได้หรือไม่

ยอดขาย iPhone ในประเทศจีนปรับลงอย่างมีนัยยะ

     หนึ่งในปัจจัยกดดันหลักของ Apple คือการรายงานตัวเลขยอดขาย iPhone ในประเทศจีนที่ปรับลงอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 6 สัปดาห์แรกของปี 2024 ยอดขายปรับลง -24% ต่อเนื่องมาจากการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสล่าสุดที่แม้บริษัทจะรายงานรายได้สูงกว่าคาด โดยมีรายได้จาก iPhone ในภาพรวมเติบโตได้ราว +6% และยังคงเป็นสัดส่วนรายได้หลักที่ประมาณ 58% ของรายได้ทั้งหมด แต่รายได้จากประเทศจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุดปรับลงถึง -13% ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่า ยอดขาย iPhone ในจีนจะหดตัวต่อเนื่องในไตรมาส 1 ปี 2024 ที่ -7.5%

     โดยนอกเหนือจากกำลังการบริโภคของชาวจีนจะชะลอลงจากภาพรวมของเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว รวมถึงกระแสการสั่งห้ามเจ้าหน้าที่หน่วยงานรัฐใช้ iPhone จากทางการจีนแล้ว ยอดขาย iPhone ของ Apple ยังถูกกดดันอย่างหนักจากการแข่งขันที่สูงขึ้นในจีน ซึ่งบริษัทจีนอย่าง Huawei รวมถึง Xiaomi และ Oppo เริ่มปรับทิศทางของธุรกิจ โดยการผลักดันแบรนด์ให้เข้าสู่ตลาด High-End Market ด้วย features คล้ายกันแต่มีราคาที่ย่อมเยากว่า โดยในช่วง 6 สัปดาห์แรกของปีนี้ แม้ตัวเลขตลาด smartphone ของจีนที่จะปรับลง -7% แต่คู่แข่งสำคัญอย่าง Huawei กลับมียอดขาย smartphone รุ่น Mate 60 เพิ่มขึ้นถึง +64% โดยรุ่นดังกล่าวพึ่งเปิดตัวเมื่อปลายปีที่แล้วและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

    ทั้งนี้ Apple วางแผนการฟื้นฟูยอดขายในจีนด้วยการเดินหน้าเปิดร้าน Apple Store สาขาที่ 8 ใจกลางเมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งถือเป็นเมืองที่มีสาขา Apple Store มากที่สุดในประเทศ โดย Tim Cook – CEO ของ Apple ได้เดินทางเยือน Apple Store แห่งใหม่นี้ด้วยเช่นกัน พร้อมกับระบุว่า Apple เตรียมเปิดตัวแว่น Vision Pro ในประเทศจีนภายในปีนี้ หลังจากเปิดวางจำหน่ายใน Apple Store ที่สหรัฐฯ เมื่อต้นเดือน ก.พ. ซึ่งแม้จะต้องเผชิญกับคู่แข่งอย่าง Pico ซึ่งเป็นธุรกิจแว่น Virtual Reality ในเครือของ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok แต่ยังมองว่าผลิตภัณฑ์ Vision Pro มีศักยภาพในการสร้างการเติบโตของรายได้ Apple ในจีนได้ในอนาคต

เผชิญกับการฟ้องร้องในประเด็นผูกขาดตลาดทั้งในสหรัฐฯและยุโรป

     อีกหนึ่งประเด็นกดดันราคาหุ้น Apple คือการเผชิญกับประเด็นการผูกขาดทางการค้า โดยกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ กำลังพิจารณาและเตรียมดำเนินคดีกับบริษัทเทคฯขนาดใหญ่หลายแห่ง รวมถึง Apple ซึ่งจะเน้นประเด็นที่บริษัทมีการควบคุมระบบและอุปกรณ์ให้สามารถใช้ได้กับของ Apple เพียงเท่านั้น อย่างเช่น Apple Watch ที่ใช้งานได้แค่กับ iPhone และ iMessage ที่ใช้บริการได้บนอุปกรณ์ของ Apple เท่านั้น รวมถึงระบบชำระเงินดิจิทัลบน iOS ที่มี Apple Pay เป็นเพียงตัวเลือกเดียวให้กับผู้ใช้ iPhone ซึ่งนับเป็นการขัดขวางบริการทางการเงินของบริษัทอื่นๆ ให้กับผู้ที่ใช้งานอุปกรณ์ของ Apple ซึ่งทางฝั่งยุโรปก็ได้มีการสั่งปรับเงิน Apple จากประเด็นการละเมิดกฎหมายผูกขาดการค้า ด้วยเช่นกัน จากการกีดกันการแข่งขันในตลาด Music Streaming ผ่าน App Store เป็นจำนวนเงินสูงถึง €1.8 billion ($2 billion) ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์เคยประเมินไว้เกือบ 4 เท่า

ที่ผ่านมา Apple ได้ลดความเสี่ยงจากประเด็นการผูกขาดในฝั่งยุโรป ด้วยการอนุญาตให้ผู้ใช้งานระบบ iOS โดยได้ยื่นข้อเสนอให้กับผู้ใช้ในยุโรปให้สามารถตั้งค่าการชำระเงินผูกกับผู้ให้บริการทางการเงินที่ต้องการได้ นอกจากนี้ ยังเปิดให้ผู้ใช้บริการสามารถติดตั้ง Application ได้โดยตรงจากเว็ปไซต์ของผู้พัฒนา Application โดยไม่จำเป็นต้องติดตั้งผ่าน App Store เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมาย Digital Market Act (DMA) ของรัฐสภายุโรปที่มีผลบังคับใช้ แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจกระทบต่อรายได้ค่าธรรมเนียมบน App Store ของ Apple ด้วยเช่นกัน สำหรับประเด็นการฟ้องร้องในสหรัฐฯ ที่ยังอยู่ในกระบวนการต่อสู้ในชั้นศาล เรามองว่าบริษัทจะทำทุกวิถีทางที่จะปกป้องระบบนิเวศการใช้งานผลิตภัณฑ์ของ Apple จนถึงที่สุด

ความล่าช้าในการพัฒนาเทคโนโลยี AI

     นอกจากนี้ นักลงทุนมีความกังวลว่า Apple จะพัฒนาเทคโนโลยี AI ได้ไม่ทันกับบริษัทเทคฯขนาดใหญ่เจ้าอื่น หลังการเปิดตัวที่ประสบความสำเร็จของ ChatGPT เมื่อปลายปี 2022 ส่งผลให้เหล่าบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกต่างแข่งขันกันเร่งพัฒนาเทคโนโลยี AI แต่บริษัทเทคฯ เจ้าใหญ่อย่าง Apple กลับถูกมองว่ามีการพัฒนานวัตกรรม AI ที่ล่าช้า และมีส่วนให้สูญเสียตำแหน่งบริษัทที่มี Market Cap สูงที่สุดในโลกให้กับ Microsoft

     ทั้งนี้ Apple ได้ออกมาให้ความมั่นใจกับนักลงทุนว่าจะมีการนำเทคโนโลยี AI มาผสานกับผลิตภัณฑ์และบริการ โดยมีรายงานว่าบริษัทกำลังเตรียมระบบปฏิบัติการ iOS 18 จากการพัฒนาโมเดล AI รวมถึงได้เข้าเจรจากับกับบริษัทเทคฯอื่นๆเพื่อนำเทคโนโลยี Generative AI มาใส่ในฟีเจอร์ในผลิตภัณฑ์ของบริษัทอย่างเช่น Gemini AI ของ Alphabet และ Baidu ของจีน เป็นต้น อย่างไรก็ดี AI ถือเป็นเทคโนโลยีในอนาคตที่สำคัญ และมองว่า Apple จะพัฒนา AI ของตนเองมากกว่าพึ่งพาเทคฯจากบริษัทอื่น ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจะมีการเปิดเผยความคืบหน้าของการพัฒนาและนำ AI มาประยุกต์ใช้งานกับอุปกรณ์ของ Apple ในงานประชุมนักพัฒนาประจำปี Worldwide Developers Conference หรือ WWDC ในช่วงกลางปีนี้ โดย Tim Cook ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาเทคโนโลยี Generative AI ในการประชุมผู้ถือหุ้นประจำปีที่ผ่านมา พร้อมระบุว่าบริษัทกำลังลงทุนในการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว ซึ่งถือเป็นการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ครั้งสำคัญที่นักลงทุนจับตามอง หลังจากก่อนหน้านี้ Apple ประกาศยกเลิกการลงทุนในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเพื่อหันมาทุ่มเททรัพยากรในการพัฒนาเทคโนโลยี AI  

     แม้ขณะนี้ Apple จะเผชิญกับประเด็นรุมเร้ากดดันราคาหุ้นปรับลงสวนทางกับหุ้นเทคฯใหญ่และดัชนีหลัก แต่มองว่าบริษัทจะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้จากการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา บริษัทสามารถผ่านพ้นมรสุมครั้งสำคัญได้หลายครั้ง อาทิ การเปลี่ยนแปลงผู้นำบริษัท, ปัญหาถูกฟ้องร้องจากประเด็นแบตเตอรี่ iPhone รุ่นเก่า, การถูกปิดโรงงานในจีนช่วง Lockdown ซึ่งในท้ายที่สุด หาก Apple สามารถฟันฝ่า 3 มรสุมสำคัญครั้งนี้ไปได้ โอกาสที่ Apple จะกลับมาเป็นบริษัทที่มี Market Cap สูงที่สุดในโลกก็อาจจะไม่ยากเกินไปนัก

 

ที่มา: Company Report, Bloomberg, CNBC, Goldman Sachs

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ TISCO Contact Center 0 2633 6000 กด 4 , 0 2080 6000 กด 4
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน

รายงานฉบับนี้ไม่ถือว่าเป็นคำเสนอหรือคำชี้ชวนให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ และจัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะเพื่อประโยชน์แก่บุคคลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทเท่านั้น มิให้นำไปเผยแพร่ทางสื่อมวลชนหรือโดยทางอื่นใด ทิสโก้ไม่ต้องรับผิดต่อความเสียหายใดๆ ที่เกิดขึ้นโดยตรงหรือเป็นผลจากการใช้เนื้อหาหรือรายงานฉบับนี้ การนำไปซึ่งข้อมูล บทความ บทวิเคราะห์ และการคาดหมายทั้งหลายที่ปรากฏอยู่ในรายงานฉบับนี้เป็นการนำไปใช้โดยผู้ใช้ยอมรับความเสี่ยงและเป็นดุลยพินิจของผู้ใช้แต่ผู้เดียว