“บ้าน” ทางเลือกในการสร้างรายได้แบบบำนาญของคนวัยเกษียณ
ปัจจุบันมีทางเลือกเพิ่มเติมสำหรับคนเกษียณที่รายได้ไม่พอแต่มีบ้านเป็นทรัพย์สินของตัวเอง ก็คือ การสร้างรายได้แบบบำนาญด้วย “Reverse Mortgage” ซึ่งก็คือ สินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ โดยมีบ้านเป็นหลักประกัน โดยสินเชื่อประเภทนี้ แทนที่เราจะต้องจ่ายค่างวดให้กับธนาคาร จะกลับกันเป็นธนาคารเป็นผู้จ่ายเงินให้เรา เหมือนการที่เราทยอยแบ่งบ้านของเราออกขายให้กับธนาคาร โดยที่ธนาคารจะจ่ายเงินค่าบ้านให้เราเป็นรายเดือนซึ่งมีรูปแบบในการจ่ายแตกต่างกันออกไปในแต่ละธนาคาร

ปัจจุบันมีทางเลือกเพิ่มเติมสำหรับคนเกษียณที่รายได้ไม่พอแต่มีบ้านเป็นทรัพย์สินของตัวเอง ก็คือ การสร้างรายได้แบบบำนาญด้วย “Reverse Mortgage” ซึ่งก็คือ สินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ โดยมีบ้านเป็นหลักประกัน โดยสินเชื่อประเภทนี้ แทนที่เราจะต้องจ่ายค่างวดให้กับธนาคาร จะกลับกันเป็นธนาคารเป็นผู้จ่ายเงินให้เรา เหมือนการที่เราทยอยแบ่งบ้านของเราออกขายให้กับธนาคาร โดยที่ธนาคารจะจ่ายเงินค่าบ้านให้เราเป็นรายเดือนซึ่งมีรูปแบบในการจ่ายแตกต่างกันออกไปในแต่ละธนาคาร

เงื่อนไขสำหรับการกู้ประเภทนี้ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักในการกู้เพื่อเป็นค่าครองชีพหลังเกษียณ ส่วนใหญ่ธนาคารจะให้วงเงินสินเชื่อสูงสุดไม่เกิน 70% ของมูลค่าบ้าน โดยผู้ขอสินเชื่อต้องมีอายุ 60-80 ปี และอายุสูงสุดที่จะได้รับเงินรายเดือนโดยส่วนใหญ่จะกำหนดไว้ไม่เกิน 85 ปี อย่างไรก็ตาม กรณีที่เราอายุยืนยาวกว่า 85 ปี สามารถขอขยายระยะเวลาในการรับเงินออกไปได้จนกว่าเราจะเสียชีวิต ส่วนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับบ้านไม่ว่าจะเป็นค่าซ่อมแซม เบี้ยประกันภัย ภาษีที่เกี่ยวข้อง เรายังต้องรับผิดชอบอยู่เพราะกรรมสิทธิ์ในบ้านยังเป็นของเรา

หลังจากครบสัญญาเงินกู้หรือหลังจากที่เราเสียชีวิต  บ้านของเราก็จะโอนเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคาร ธนาคารสามารถนำบ้านไปขายทอดตลาด ซึ่งหากขายบ้านได้เงินสูงกว่าวงเงินสินเชื่อ ทายาทของเราจะได้รับเงินส่วนเกินจากการขายทอดตลาดนั้น

โดยข้อดีของ Reverse Mortgage ที่เห็นได้ชัด ก็คือ เรายังสามารถอาศัยอยู่ในบ้านของเราไปได้เรื่อยๆ ตลอดชีวิตหรือเมื่อสิ้นสุดสัญญา โดยมีรายได้ต่อเดือนมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม เรื่องที่ต้องพิจารณาก่อนที่จะใช้สินเชื่อประเภทนี้ คือ กรณีที่เราเสียชีวิต แล้วบ้านตกเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคารที่ปล่อยกู้ มีใครที่จะได้รับผลกระทบจากการไม่มีที่อยู่อาศัยหรือเปล่า รวมถึงการที่เราอาจจะไม่มีมรดกเหลือไว้ให้ลูกหลาน นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยก็เป็นอีกปัจจัยในการพิจารณาขอสินเชื่ออีกด้วย

ดังนั้น การได้มีบ้านเป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเองถือเป็นข้อดีอย่างมาก เพราะนอกจากจะทำให้เราไม่ต้องเสียค่าเช่ารายเดือนแล้ว เราอาจได้ใช้ประโยชน์จากบ้านของเราในการมีร

ายได้หลังเกษียณเพิ่มอีกด้วย หวังว่าเพื่อนๆ ทุกคนจะมีบ้านเป็นของตัวเองเพื่อที่เราจะได้มีความสุขทุกวันยันเกษียณเลยนะคะ

เพื่อนๆ สามารถติดตามสาระดีๆ และข้อมูลข่าวสารด้านการวางแผนการเงินและการลงทุนได้ที่ TISCO Smart Retirement Facebook : TISCO   Line@ : @tiscoasset

#TISCOsmartretirement #สุขทุกวันยันเกษียณ #Smartretirement  #Smartspending