มีงานมั่นคงและมีรายได้ประจำ เปลี่ยนจาก “เช่า” มา “ซื้อ” บ้านกันเถอะ
มีงานมั่นคงและมีรายได้ประจำ เปลี่ยนจาก “เช่า” มา “ซื้อ” บ้านกันเถอะ
ใครที่เลือกเช่าบ้านอยู่ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลที่ว่า “เงินเดือนน้อย ผ่อนบ้านไม่ไหวหรอก” หรือ “เช่าบ้านอ่ะดีแล้ว จะย้ายออกเมื่อไหร่ก็ได้” วันนี้ เราอยากให้ลองมาดูอีกมุมนึง ที่เป็นข้อดีของการซื้อบ้าน ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ ที่มีรายได้ประจำและมีงานที่มั่นคงซึ่งเป็นกลุ่มที่จะขอสินเชื่อบ้านได้ไม่ยาก ไปดูกันว่าข้อดีของการกู้ซื้อบ้านมีอะไรบ้าง

1. ผ่อนยาวได้จนเกษียณ

การกู้ซื้อบ้านนั้น ถือเป็น “หนี้ดี” เป็นหนี้ที่แนะนำให้แต่ละคนสร้างได้ ซึ่งโดยปกติแล้ว สถาบันการเงินจะให้เราเลือกระยะเวลาในการผ่อนบ้านได้นานเป็นสิบๆ ปีเลยล่ะ ซึ่งถ้าใครผ่อนบ้านตอนอายุยังน้อย ก็จะมีภาระค่างวดต่อเดือนน้อยกว่าคนที่ซื้อบ้านตอนอายุมาก เพราะมีระยะเวลาในการผ่อนบ้านนานกว่านั่นเอง เรียกได้ว่า “ผ่อนกันตั้งแต่เป็น “วัยซ่าส์” จนเข้าสู่ “วัยเก๋า” หรือจนเกษียณเลยทีเดียว  


ลองไปดูตัวอย่างภาระค่างวดของคนที่เริ่มผ่อนบ้านเร็วกับเริ่มผ่อนบ้านช้ากันดีกว่า


บ้านราคา 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยต่อปีประมาณ 5% ผ่อนจนเกษียณที่อายุ 60 ปี

  • เริ่มผ่อนบ้านอายุ 30 ปี – ระยะเวลาในการผ่อน 30 ปี จ่ายค่างวดเดือนละประมาณ 5,000 บาท 
  • เริ่มผ่อนบ้านอายุ 50 ปี – ระยะเวลาในการผ่อน 10 ปี จ่ายค่างวดเดือนละประมาณ 10,000 บาท

 

2. ผ่อนจบปุ๊บ เป็นเจ้าของบ้านปั๊บ

ข้อดีของการผ่อนบ้าน คือ ผ่อนจบปุ๊บ ได้เป็นเจ้าของบ้านปั๊บ ซึ่งต่างจากการเช่าบ้านที่จ่ายค่าเช่าทิ้งไปเปล่าๆ โดยไม่ได้ทรัพย์สินอะไรติดไม้ติดมือกลับมาเลย

นอกจากนี้ ราคาขายของบ้านและที่ดินโดยทั่วไปจะปรับเพิ่มขึ้นทุกปีตามเทรนด์ของอัตราเงินเฟ้อและทำเลของบ้าน มาดูกันว่าราคาบ้านที่ 1 ล้านบาท จะปรับเพิ่มเป็นเท่าไรในเวลา 30 ปี

ราคาบ้านและที่ดินเพิ่มขึ้น 3% ต่อปี - ราคาปรับเพิ่มเป็นประมาณ 2.4 ล้านบาท ในเวลา 30 ปี

ราคาบ้านและที่ดินเพิ่มขึ้น 8%-10% ต่อปี (ทำเลทอง) - ราคาปรับเพิ่มเป็นประมาณ 10 -17 ล้านบาท ในเวลา 30 ปี

ดังนั้น หากเรารอไปซื้อบ้านในอนาคต ก็ต้องเตรียมเงินเพิ่มขึ้นอีกหลายล้านเพื่อซื้อบ้านแบบเดิม ซึ่งการซื้อบ้านวันนี้ เป็นการล็อคราคา ณ ปัจจุบันที่ถูกกว่า และถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามากเลยทีเดียว

3. มีทรัพย์สินติดตัว แหล่งเงินทุนยามจำเป็น

เวลาจำเป็นต้องใช้เงิน บ้านและที่ดินเป็นทรัพย์สินที่สามารถแปลงเป็นแหล่งเงินทุนของเราได้ โดยสามารถติดต่อขอเงินทุนหรือสินเชื่อจากสถาบันการเงินต่างๆ ได้

นอกจากนี้ สำหรับผู้สูงอายุที่มีบ้านเป็นของตัวเอง และประสบปัญหารายได้หลังเกษียณไม่เพียงพอกับรายจ่าย สามารถสมัครเข้าโครงการ “สินเชื่อเพื่อผู้สูงอายุโดยมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน” (“Reverse Mortgage”) โดยสามารถนำบ้านที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองมาขอกู้เงินกับธนาคารของรัฐ และทางธนาคารจะทยอยให้เงินสินเชื่อเป็นรายเดือนจนกว่าผู้กู้จะครบกำหนดอายุสัญญาหรือเสียชีวิต ซึ่งผู้สูงอายุสามารถอาศัยอยู่ในบ้านไปได้เรื่อยๆ จนสิ้นสุดสัญญาหรือตลอดชีวิต 

4. เปลี่ยนแปลงชื่อผู้รับผลประโยชน์ได้มั้ย?

เห็นมั้ยครับ การมีบ้านเป็นของตัวเองนั้นดี๊ดี แต่เราต้องไม่ลืมที่จะบริหารจัดการหนี้ให้ดีด้วย โดยให้มองหาสินเชื่อบ้านที่ตอบโจทย์เวลาที่เรามีเงินเหลือแล้วเอาไปโปะหนี้ได้เต็มที่ และพอถึงเวลาจำเป็นก็สามารถถอนเงินที่โปะไปแล้วกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งนอกจากจะทำให้เพื่อนๆ จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้น้อยลงแล้ว ยังสามารถปลดหนี้และได้บ้านเป็นของตัวเองเร็วขึ้นหลายปีเลยทีเดียว สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม คลิก https://youtu.be/PapfgmRWL3E

ซึ่งการมีหนี้นั้น ต้องมีการวางแผนสร้างหนี้ พร้อมไปกับการวางแผนทางการเงินอย่างสมาร์ท ไม่ว่าจะเป็นออมก่อนใช้ สำรองเงินฉุกเฉิน 3-6 เดือนของค่าใช้จ่ายต่อเดือน เลือกใช้สินเชื่อแบบโปะได้ถอนได้ และควบคุมการผ่อนชำระหนี้ที่เรามีทั้งหมดไม่เกิน 40% ของรายได้ เชื่อเลยว่า เพื่อนๆ ก็จะมีชีวิตที่มั่นคงมั่งคั่งทั้งในปัจจุบัน แล้วก็มีความสุขทุกวันยันเกษียณเลยล่ะครับ

เพื่อนๆ สามารถติดตามสาระดีๆ และข้อมูลข่าวสารด้านการวางแผนการเงินและการลงทุนได้ที่  
#สุขทุกวันยันเกษียณ #Smartretirement #Smartsaving #FreedombyTISCOPVD #PVDGURU #PVDmember